ไปต่อได้อีกปี ! แนวโน้มของตลาดหุ้นในปี 2561 ยังคงสดใสพอสมควรในมุมมองของ “นายหมูบิน” แต่ก็มีจุดที่ต้องระมัดระวังเช่นเดียวกัน เพราะอย่างที่ “นายหมูบิน” บอกไปหลายครั้งว่าการปรับตัวขึ้นของ SET เหนือ 1,720 จุดในรอบนี้ มีโอกาสที่จะเป็นการปรับตัวขึ้นเพื่อปิดคลื่นสุดท้ายของขาขึ้นรอบนี้ หรือ Wave ที่ 5 ในทางเทคนิค
อย่างไรก็ดีในเบื้องต้นขอเรียนให้ทราบเรื่องดีๆก่อน... เรื่องดีๆ คือ มีโอกาสที่ตลาดหุ้นโลกจะยังคงไปต่อได้อีกในปี 2561 โดยมีตลาดหุ้นสหรัฐ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐเป็นธงนำอีกครั้ง หลังจากที่ล่าสุดดัชนีดาวโจนส์ทำสถิติทะยานมากกว่า 5,000 จุด หรือ 26% ในปี 2560 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นนิวยอร์กนับตั้งแต่ก่อตั้งมานาน 121 ปี บนความหวังที่ว่าสภาคองเกรส สหรัฐจะผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีขั้นสุดท้าย ก่อนที่จะส่งต่อไปให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามรับรองเป็นกฎหมายต่อไป ซึ่งร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีในครั้งนี้ถือว่ามีความสำคัญมาก โดยร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีขั้นสุดท้ายจะยังคงจำนวนขั้นบันไดของการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไว้ที่ 7 ขั้น คือที่ระดับ 10%, 12%, 22%, 24%, 32%, 35% และ 37% โดยลดอัตราภาษีขั้นสูงสุดสู่ระดับ 37% จากระดับ 39.6% ขณะที่แนวโน้มของเศรษฐกิจในปี 2561 มีการคาดการณ์กันว่าเศรษฐกิจสหรัฐที่คาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องราว 2.5% เพิ่มขึ้นจากที่ขยายตัวราว 2.3% ในปี 2560 และเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มเกิดใหม่ หรือ Emerging Market ที่คาดว่าจะขยายตัวราว 5.0% จากระดับ 4.7% ในปี 2560 จะเป็นพระเอกหลักที่ผลักดันให้เศรษฐกิจโลกในปี 2561 ขยายตัวราว 3.8% ต่อเนื่องจาก 3.6% ในปี 2560 และอัตราเงินเฟ้อของโลกขยับขึ้นจาก 2.5% มาอยู่ที่ 2.9% ในทิศทางเดียวกันด้วย
ถ้าพิจารณาในเชิงของความน่าสนใจขอตลาดหุ้นในแต่ละภูมิภาค จะพบว่าในปี 2561 ตลาดหุ้นสหรัฐ และประเทศในกลุ่มเกิดใหม่ หรือ Emerging Market ยังคงถูกคาดการณ์ว่าจะมีโอกาสปรับตัวขึ้น หรือ Potential Upside Gain มากที่สุดราว 11% ทั้งคู่เทียบกับตลาดหุ้นยุโรป, ญี่ปุ่น และจีนที่มีระดับ Potential Upside Gain ราว 9%, 6% และ 9% ตามลำดับ
นอกจากนี้ในส่วนของการจัดสรรพอร์ตการลงทุนในปี 2561 Morgen Stanley ให้น้ำหนักการลงทุนสำหรับตลาดหุ้นโลกปี 2561 ไว้ที่ 50% ของพอร์ต โดยแบ่งเป็นตลาดหุ้นสหรัฐ, Emerging Market, ยุโรป และญี่ปุ่นไว้ที่ 25%, 10%, 10% และ 5% ตามลำดับ ทั้งนี้ในส่วนของตลาดหุ้น Emerging Market และเอเชีย นั้น Morgan Stanley เน้นให้น้ำหนักการลงทุนไปที่กลุ่มพลังงาน, การเงิน, เทคโนโลยี และบริการ ในส่วนของตลาดหุ้นไทยมีการคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ว่ากำไรของ SET ในปี 2561 จะขยายตัวราว 9% YoY ซึ่งถ้าเป็นตัวเลขดังกล่าวจริง “นายหมูบิน” มองว่าระดับที่มีความเหมาะสมของ SET จะอยู่ที่ 1,800 จุด แต่ในส่วนตัวของ “นายหมูบิน” เองมองว่ากำไรของ SET ในปี 2561 น่าจะกลับมาขยายตัวที่ระดับ 20% YoY ได้ ซึ่งถ้าเป็นตัวเลข 20% “นายหมูบิน” มองว่าระดับที่มีความเหมาะสมของ SET จะอยู่ที่ 1,900 จุดในปี 2561
อาจเป็นการปรับขึ้นเพื่อปิดรอบใหญ่ : ประเด็นที่ “นายหมูบิน” มองว่าสนับสนุนมุมมองว่าแนวโน้มของตลาดหุ้นโลก และไทยกำลังเดินมาสู่ทิศทางของการปรับขึ้นในรอบสุดท้ายแรงๆ ในปี 2561 ก่อนที่จะต้องปรับตัวลงแรงๆอีกครั้งหลังจากนั้น มีอยู่หลายประเด็นประกอบกัน แรกที่สุดเลยคือแนวโน้มของเศรษฐกิจโลก เพราะถ้าไปพิจารณาในภาพใหญ่จะพบว่ามีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากที่เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวต่อเนื่องในปี 2561 อีก 1 ปีที่ 3.8% ก่อนที่จะเริ่มขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงต่อเนื่องในปี 2562 ที่คาดว่าจะขยายตัวลดลงมาที่ 3.7% เป็นต้นไป ซึ่งทิศทางดังกล่าวก็ไม่เว้นแม้แต่เศรษฐกิจของสหรัฐที่คาดว่าหลังจากขยายตัวราว 2.5% ในปี 2561 แล้วจะเริ่มขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 1.9% ในปี 2562
นอกจากนี้ประเด็นที่น่าสนมากกว่านั้น คือถ้าพิจารณาจากทฤษฎี 10 Years Cycle ของเศรษฐกิจสหรัฐ จะพบว่าเศรษฐกิจสหรัฐในรอบนี้ฟื้นตัวต่อเนื่องมาแล้ว 7 ปี ดังนั้นมีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐจะกลับสู่ภาวะถดถอยอีกครั้งในอีก 3 ปีข้างหน้า หรือปี 2563 โดยที่ล่าสุดมีการประเมินกันว่ามีความเป็นไปได้ราว 54% ที่เศรษฐกิจสหรัฐจะกลับสู่ภาวะถดถอยอีกครั้งในอีก 3 ปีข้างหน้า และมีความเป็นไปได้ถึง 65% ที่เศรษฐกิจสหรัฐจะกลับสู่ภาวะถดถอยอีกครั้งในอีก 4 ปีข้างหน้า เมื่อบวกกับทิศทางของธนาคารกลางสำคัญๆของโลกที่มีแนวโน้มที่จะหยุด หรือทยอยหยุดการปล่อยสภาพคล่องออกมาเพิ่มเติมแล้ว ทั้งสหรัฐ, ยูโรป, จีน หรือแม้กระทั่งญี่ปุ่น ที่แม้ว่าจะไม่ประกาศ แต่การที่ล่าสุด GPIF ได้เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นในประเทศ และต่างประเทศด้วยสัดส่วน 24.9% และ 22.9% ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ 25% และ 25% ตามลำดับแล้ว ทำให้โอกาสที่จะมีเม็ดเงินเข้ามาสนับสนุนเพิ่มเติมจากโปรแกรมดังกล่าวน่าจะยากขึ้น ดังนั้นแม้ว่าทิศทางของตลาดหุ้นโลกจะยังคงสดใสในปี 2561 แต่บนความสดใสนี้ดูเหมือนจะมีเมฆก้อนใหญ่ที่กำลังลอยเข้ามาในอนาคตอันใกล้ด้วยเช่นกัน
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) : ตราบใดที่ SET ยังคงไม่สามารถกลับไปปิดเหนือกว่า 1,750 (+/-5) จุดได้ ใช้เป็นโอกาสในการ “เข้าซื้อสะสม” ในหุ้น PTTGC, PTTEP, BCP, EGCO,TISCO, SCC, SAWAD, HMPRO, AOT และ ADVANC อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่ระดับ 75% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ ”เซียนเศรษฐกิจ” เวลา 10.00-12.00 น. ทาง FM 101 ทุกวันอาทิตย์ เช่นเดิมครับ
ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายสัปดาห์ (Weekly)
Source: Wealth Hunters Club