
บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล เปิดเผยว่า การลงทุนซื้อขายโรงแรมในเอเชียแปซิฟิกในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ มีมูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 1.77 แสนล้านบาท ฮ่องกงเป็นตลาดการซื้อขายที่มีมูลค่าสูงสุดที่ประมาณ 50,145 ล้านบาท ตามด้วยญี่ปุ่นด้วยมูลค่าประมาณ 40,116 ล้านบาท และไทยตามมาเป็นอันดับสามด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 11,200 ล้านบาท
หลายๆ โรงแรมในฮ่องกงที่ถูกนักลงทุนซื้อไป มีความเป็นไปได้ที่จะถูกเปลี่ยนให้เป็นอาคารชุดพักอาศัย หรืออาคารสำนักงาน ทั้งนี้ มีเจ้าของโรงแรมจำนวนหนึ่งที่กำลังพิจารณาปรับเปลี่ยนโรงแรมของตนไปเป็นอาคารสำนักงาน ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการสูง

นายไมค์ แบทเชเลอร์ หัวหน้าฝ่ายขายภาคพื้นเอเชีย หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรม เจแอลแอล กล่าวว่า “นักลงทุนให้ความสนใจซื้อโรงแรมในฮ่องกงมากเป็นพิเศษ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาขายต่อราตางฟุตค่อนข้างถูกกว่าอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นที่เหมาะสำหรับลงทุน จึงไม่แปลกที่จะมีนักลงทุนซื้อเพื่อเปลี่ยนประโยชน์การใช้ ตัวอย่างเช่น โรงแรมเจพลัสที่เพิ่งถูกซื้อไป คาดว่าจะถูกเปลี่ยนไปเป็นอาคารสำนักงาน”
ญี่ปุ่นเป็นตลาดการซื้อขายโรงแรมที่มีความคึกคักต่อเนื่องเรื่อยมานับตั้งแต่ปี 2556 โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มีการซื้อขายโรงแรมไปแล้วคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 40,116 ล้านบาท ทั้งนี้ การที่โตเกียวกำลังเตรียมการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อน 2020 จะมีส่วนช่วยในการส่งเสริมภาคธุรกิจท่องเที่ยว โดยรัฐบาลญี่ปุ่นตั้งเป้าที่จะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติขึ้นเท่าตัวเป็น 40 ล้านคนในปี 2563
“นักลงทุนญี่ปุ่นยังคงเป็นผู้ซื้อรายหลัก แต่พบว่า เริ่มมีทุนต่างชาติเข้ามาซื้อโรงแรมในญี่ปุ่นมากขึ้นเนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของภาคธุรกิจโรงแรมในญี่ปุ่นปรับตัวดีขึ้นและมีโรงแรมเสนอขายต่อเนื่อง คาดว่า การลงทุนซื้อขายโรงแรมในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีจะมีปริมาณมาก” นายแบทเชเลอร์กล่าว
ส่วนในประเทศไทย ปีนี้นับเป็นอีกปีหนึ่งที่มีการซื้อขายโรงแรมคึกคัก โดยในช่วง 9 เดือนแรกมีมูลค่ารวม 11,200 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นมูลค่าสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2557 ทั้งนี้ รายการลงทุนซื้อขายโรงแรมหลายรายการที่เกิดขึ้นในปีนี้ มีเจแอลแอลเป็นตัวแทนขาย อาทิ กลุ่มโรงแรมพรีเมียร์อินน์ และเอส 27 รวมมูลค่ากว่า 3,727 ล้านบาท ปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งที่เอื้อให้ตลาดโรงแรมของไทยได้รับความสนใจจากนักลงทุน ได้แก่ สภาวการณ์ทางเมืองที่มีเสถียรภาพต่อเนื่อง และโรงแรมที่เสนอขายมีราคาที่นักลงทุนสามารถซื้อได้ง่ายกว่าโรงแรมในประเทศอื่นๆ บางประเทศของเอเชีย
ออสเตรเลียเป็นอีกประเทศหนึ่งที่นักลงทุนจากทั่วโลก โดยเฉพาะจีน สนใจเข้าไปลงทุนซื้อโรงแรม เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวในออสเตรเลียเพิ่มขึ้นมากต่อเนื่อง โดยช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มีการลงทุนซื้อขายเกิดขึ้นคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 3,677 ล้านบาท นายแบทเชเลอร์กล่าวว่า “นับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา นักลงทุนจีนเข้าไปซื้อโรงแรมในออสเตรเลียไปแล้วรวมมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 46,800 ล้านบาท อย่างไรก็ดี จากการที่รัฐบาลจีนออกมาตรการคุมเข้มการนำเงินออกไปลงทุนในต่างประเทศ มีแนวโน้มว่าการลงทุนในตลาดโรงแรมของออสเตรเลียโดยนักลงทุนจีนอาจชะลอตัว”
โดยภาพรวมมูลค่าการซื้อขายโรงแรมทั่วเอเชียแปซิฟิกใน 9 เดือนแรกของปีนี้ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 22% ทั้งนี้ จากรายซื้อขายโรงแรมที่กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาหรือดำเนินอยู่ในขณะนี้ คาดว่า การซื้อขายโดยรวมของทั้งปีจะมีมูลค่ารวมอยู่ระหว่าง 250,725-267,440 ล้านบาท แต่จะยังต่ำกว่ายอดรวมของปี 2559 ซึ่งมีมูลค่าราว 287,000 ล้านบาท
“มูลค่าการซื้อขายโรงแรมในเอเชียแปซิฟิกที่คาดว่าจะลดลงในปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว มีปัจจัยสำคัญจากการที่มีโรงแรมเสนอขายน้อย ประกอบกับความคาดหวังราคาของฝั่งผู้ซื้อและผู้ขายมีช่องว่างเพิ่มมากขึ้น” นายแบทเชเลอร์สรุป