บมจ.พริมา มารีน (“PRM”) เคาะราคาขาย IPO หุ้นละ 8.00 บาท หลังสำรวจความต้องการซื้อ (Book Building) ของนักลงทุนสถาบันที่ให้ความสนใจจองซื้อล้น 8 เท่า ดีเดย์เปิดจองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 6-8 ก.ย. คาดเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในเดือนกันยายนนี้ พร้อมแต่งตั้ง บล.กสิกรไทย และบล.ไทยพาณิชย์ เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ด้านผู้บริหาร PRM ชูศักยภาพการดำเนินธุรกิจขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์น้ำมันกึ่งสำเร็จรูป และปิโตรเคมีเหลวทางเรืออย่างครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย พร้อมขยายกองเรือ หวังตอบสนองความต้องการลูกค้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2560 บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM ผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันกึ่งสำเร็จรูป และปิโตรเคมีเหลวทางเรืออย่างครบวงจร ซึ่งเป็นรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย รวมถึงให้บริการเรือขนส่งที่สนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล และการบริหารจัดการกองเรือของอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมีเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จัดพิธีลงนามในสัญญาแต่งตั้งผู้จัดจำหน่ายหุ้นสามัญแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) โดยแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย และแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญของ PRM ในครั้งนี้
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า หลังสำรวจความต้องการซื้อ (Book Building) ของนักลงทุนสถาบัน เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2560 ที่ผ่านมา พบว่านักลงทุนสถาบันได้แสดงความต้องการซื้อรวมคิดเป็น 8 เท่าของจำนวนหุ้นที่จัดสรรให้แก่นักลงทุนสถาบัน สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจของ บมจ.พริมา มารีน ที่นักลงทุนสถาบันให้ความเชื่อมั่นถึงแนวโน้มโอกาสการเติบโตที่ดีในอนาคต ดังนั้น จึงได้กำหนดราคาหุ้น IPO ในราคาเสนอขายหุ้นละ 8.00 บาท ซึ่งจะเปิดให้นักลงทุนที่สนใจสามารถจองซื้อหุ้นในระหว่างวันที่ 6-8 กันยายน 2560 และคาดว่าจะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ภายในเดือนกันยายนนี้
นางสาววีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สาย Primary Distribution ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และตัวแทน บล.ไทยพาณิชย์ ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า ปัจจุบัน บมจ.พริมา มารีน มีทุนจดทะเบียน 2,500 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 2,500 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยทุนที่ออกและชำระแล้วมีจำนวน 2,000 ล้านบาท และจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 650 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 26 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดย บมจ.พริมา มารีน จำนวน 500 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม คือ Austin Asset Limited จำนวน 105 ล้านหุ้น และบริษัท นทลิน จำกัด จำนวน 45 ล้านหุ้น ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 20 ร้อยละ 4.2 และร้อยละ 1.80 ตามลำดับ ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนในครั้งนี้
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ บมจ.พริมา มารีน จะนำไปใช้ลงทุนเรือลำใหม่และขยายกองเรือในธุรกิจเรือขนส่งฯ ธุรกิจเรือขนส่งและการจัดเก็บ FSU และธุรกิจเรือ Offshore นอกจากนี้ บางส่วนจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจและใช้สำหรับชำระคืนเงินกู้ต่อไป
นายชาญวิทย์ อนัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) (“PRM”)กล่าวว่า บริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการกองเรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ น้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันกึ่งสำเร็จรูป และปิโตรเคมีเหลวทางเรืออย่างครบวงจร โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2560 กองเรือที่กลุ่มพริมา มารีนและกิจการร่วมค้าเป็นเจ้าของที่ให้บริการมีจำนวนทั้งสิ้น 22 ลำ มีขนาดน้ำหนักบรรทุกรวม 2,219,002 DWT นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ ยังมีเรือขนส่งน้ำมันที่ว่าจ้างจากบริษัทภายนอก เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจรองรับการให้บริการแก่ลูกค้าอีกด้วย
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนเพิ่มขีดความสามารถการให้บริการขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป ผลิตภัณฑ์น้ำมันกึ่งสำเร็จรูปและปิโตรเคมีเหลวทางเรือ การสนับสนุนสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเลและบริหารจัดการกองเรือ โดยมีการลงทุนขยายกองเรือในระหว่างปี 2560-2562ดังนี้
1. ธุรกิจเรือขนส่งฯ จะลงทุนเรือขนส่งขนาดบรรทุก 3,000-10,000 DWT ประมาณ 9 ลำ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 2,340 ล้านบาท คาดจะรองรับปริมาณขนส่งสินค้าจากการลงทุนในครั้งนี้เพิ่มขึ้น 3,800 ล้านลิตรต่อปี และลงทุนเรือขนส่งขนาดใหญ่ ประมาณ 11 ลำ ประกอบด้วยเรือขนาดประมาณ 14,000 DWT เรือ MR เรือ LR2 เรือ Aframax และเรือ VLCC เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจขนส่งฯ รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บ FSU มูลค่าโครงการรวมประมาณ 6,890 ล้านบาท คาดจะช่วยเพิ่มปริมาณขนส่งอีก 16,700 ล้านลิตรต่อปี
2. มีแผนลงทุนขยายธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บ FSU เพื่อเพิ่มศักยภาพการกักเก็บน้ำมันอีก 4 ลำ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 4,200 ล้านบาท รับการเติบโตของอุตสาหกรรมขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ 3. จะพิจารณาการลงทุนในเรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบสำหรับแท่นขุดเจาะน้ำมัน (เรือ FSO) ประมาณ 2 ลำ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 1,090 ล้านบาท รองรับการเติบโตของธุรกิจการปฏิบัติงานการสำรวจและขุดเจาะน้ำมันดิบกลางทะเลทั้งในน่านน้ำไทยและประเทศใกล้เคียงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การลงทุนครั้งนี้ หวังเพิ่มศักยภาพทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ โดยขยายตลาดเรือขนส่งสินค้าปิโตรเคมีซึ่งมีโอกาสเติบโตสูง รวมถึงขยายขอบเขตการให้บริการขนส่งสินค้าไปยังเส้นทางการเดินเรือใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เช่น เส้นทางไทย-เมียนมาร์ ไทย-จีน ไทย-ญี่ปุ่น เป็นต้น ตลอดจนการขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มเติม โดยเฉพาะฐานลูกค้าในประเทศใกล้เคียงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีโอกาสเติบโตสูง
“เรามีความเชี่ยวชาญในธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมัน และปิโตรเลียมเหลวอย่างครบวงจร ตั้งแต่การขนส่งน้ำมันทางทะเล การจัดเก็บน้ำมันบนคลังเรือลอยน้ำ การให้บริการทางเรือที่สนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล และการบริหารจัดการกองเรือของอุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมี ทำให้เรามีขีดความสามารถแข่งขันในด้านการให้บริการแก่ลูกค้ากลุ่มบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ โรงกลั่นน้ำมันและผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ทั้งในและต่างประเทศได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ มีศักยภาพการเติบโตที่ดีได้อย่างต่อเนื่องตามความต้องการใช้น้ำมันในภูมิภาคเอเชียแปฟิกที่เพิ่มขึ้น” นายชาญวิทย์ กล่าว