top of page
image.png

เปิด “อินชัวรันส์บูโร” คุมฉ้อฉล 5 พันล./ปี


หลังจากเจรจาหารือร่วมกันมานานนับสิบปี ในที่สุดผู้ประกอบการอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยทั้งระบบก็ได้ฤกษ์จัดตั้งระบบฐานข้อมูลกลางหรืออินชัวรันส์บูโร (Insurance Bureau System) ภายใต้การสนับสนุนของหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องโดยมีพิธีเซ็นลงนามความร่วมมือกันไปในระหว่าง 56 บริษัท ซึ่งบริษัทอีก 3-4 รายที่ยังไม่ได้เข้าร่วมเซ็นนั้น ส่วนใหญ่ติดปัญหาการพิจารณาอนุมัติจากบริษัทแม่ที่อยู่ต่างประเทศ รวมทั้งอาจติดปัญหาระบบธรรมาภิบาล

นายกี่เดช อนันต์ศิริประภา ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่าปัจจุบันอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยไทย มีมูลค่าธุรกิจที่คิดจากจำนวนเบี้ยประกันภัยในแต่ละปีประมาณ 2 แสนล้านบาท โดยแต่ละปีจะมีอัตราความเสียหายจากการจ่ายสินไหมทดแทนรวมเฉลี่ย 50% หรือกว่า 1 แสนล้านบาท แต่ในจำนวนความเสียหายเหล่านี้ พบว่ามีการทุจริตหรือฉ้อฉล (fraud) ทั้งจากพฤติกรรมของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับระบบประกันภัยทั้งในและนอกองค์กร คิดเป็นมูลค่าประมาณ 5% หรือเฉลี่ย 5,000 ล้านบาทต่อปี

การทุจริตโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นกรณีลูกค้าไม่สุจริต การซื้อประกันภัยในลักษณะเดียวกันหลายฉบับ การจัดฉากเคลม การรับจ้างทำเคลม การรับจ้างนอนโรงพยาบาล ฆาตกรรมอำพราง พนักงานบริษัทประกันภัยรับใต้โต๊ะจากการเคลมสินไหม ร้านค้าอะไหล่ อู่ซ่อม ร้านกระจก ร้านบริการรถยก ฯลฯ ซึ่งความเสียหายเหล่านี้ เกิดจากเจตนาฉ้อฉล ตั้งใจมาหาประโยชน์จากการทำประกันภัย เฉพาะในย่านอาเซียน พบว่าประเทศไทยมีอัตราความสูญเสียจากกรณีเหล่านี้ ใกล้เคียงกับสิงคโปร์และมาเลเซีย

“เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นจำนวนมาก จะกระทบต่อต้นทุนการจัดการสินไหมและอัตราเบี้ยประกันภัยในอนาคต ดังนั้น การมีระบบฐานข้อมูลกลาง จะช่วยให้ภาคธุรกิจได้แชร์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัยร่วมกัน”

นายจีรพันธ์ อัศวะธนกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวถึงโครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลประกันภัย เพื่อเป็นศูนย์กลางของข้อมูลการประกันภัยในการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย ยกระดับการดำเนินกิจการของอุตสาหกรรมประกันภัย เพิ่มศักยภาพของบริษัทประกันภัยในการแข่งขันระดับสากลและเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลประกันภัยที่ถูกต้องอย่างเท่าเทียมกัน

ข้อมูลและสถิติถือเป็นหัวใจหลักและเป็นปัจจัยสำคัญในการประกอบธุรกิจประกันภัยจากการมีข้อมูลที่มีคุณภาพจะทำให้ภาคธุรกิจสามารถวิเคราะห์ต้นทุนความเสี่ยงอ้างอิงในแต่ละประเภทผลิตภัณฑ์ประกันภัยได้อย่างถูกต้องตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัย ทำให้ผู้รับประกันภัยสามารถนำเสนออัตราเบี้ยประกันที่สะท้อนถึงความเสี่ยงที่แท้จริงและเพิ่มศักยภาพให้กับธุรกิจในการจัดทำระบบป้องกันฉ้อฉล รวมถึงจัดทำรายงานสถิติของธุรกิจประกันวินาศภัย วิเคราะห์และคาดการณ์ทิศทางแนวโน้มและโอกาสที่จะเกิดความเสี่ยงทุกรูปแบบ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างมีศักยภาพ

นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวว่าการแลกเปลี่ยนข้อมูลกลางด้านการประกันวินาศภัย หรืออินชัวรันส์บูโร (Insurance Bureau System) ระหว่างสมาคมประกันวินาศภัยไทยและบริษัทประกันวินาศภัยทั้งระบบ ถือเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยที่เข้าสู่ยุคการเชื่อมโยงและบูรณาการฐานข้อมูลภายใต้บริบทไทยแลนด์ 4.0

วัตถุประสงค์ของอินชัวรันส์บูโร เพื่อบูรณาการระบบฐานข้อมูลการประกันวินาศภัยให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานระบบสารสนเทศของอุตสาหกรรมประกันภัยของประเทศ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกันภัย ช่วยยกระดับการพัฒนาธุรกิจและกำกับดูแลธุรกิจ

นอกจากนี้ข้อมูลจากอินชัวรันส์นั้น ยังสามารถใช้ประโยชน์ในการอ้างอิงและพัฒนาประสิทธิภาพ การบริหารจัดการในการรับประกันภัย การกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยและค่าสินไหมทดแทนได้อย่างสอดคล้องกับสภาพความเสี่ยงของการรับประกันภัยได้อย่างแท้จริง เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในปัจจุบันลง ซึ่งในอดีตอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยขาดข้อมูลสถิติอ้างอิงในเรื่องต่างๆเป็นจำนวนมาก ทำให้แต่ละบริษัทต้องบริหารจัดการตามความแตกต่างของประสบการณ์ของแต่ละแห่ง

บริษัทประกันวินาศภัย จะส่งข้อมูลเกี่ยวกับการรับประกันและค่าสินไหมให้ตามคำสั่ง คปภ. และประกาศนายทะเบียนที่เกี่ยวข้อง โดย คปภ.จะพิจารณาส่งข้อมูลด้านการประกันภัยที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ในการพัฒนาธุรกิจประกันภัยให้กับสมาคมซึ่งข้อมูลที่จะส่งต้องไม่ใช่ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เอาประกันภัย ผู้รับผลประโยชน์และผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับค่าสินไหม

สมาคมจะต้องส่ง Source Code ให้กับ คปภ. ตลอดจนดูแลรักษาระบบฐานข้อมูลกลางประกันภัยให้มีความมั่นคง ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพโดยต้องประสานให้ระบบฐานข้อมูลตามกฎหมาย ภายใต้การกำกับดูแลของ คปภ. ตลอดเวลา และต้องนำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมประกันภัยและเผยแพร่ให้บริษัทประกันวินาศภัยใช้ประโยชน์ร่วมกันอย่างเหมาะสม รวมทั้งต้องจัดส่งข้อมูลที่ได้วิเคราะห์ บริหารจัดการให้กับ คปภ. ตามระเบียบที่ คปภ.กำหนและเงื่อนไขที่ระบุใน MOU ซึ่งสมาคมต้องปฏิบัติตาม

ฐานข้อมูลกลางเหล่านี้ จะทำให้ประชาชนได้รับสิทธิประโยชน์ความคุ้มครองและสร้างความเป็นธรรมด้านการประกันภัยได้รวดเร็วและยังสามารถติดตามการทุจริตฉ้อฉลจากธุรกิจประกันภัย สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการกำกับ ตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัทประกันภัยได้อย่างเหมาะสม ทั้งด้านพฤติกรรมทางการตลาดในการรับประกันภัยและการจ่ายค่าสินไหม ช่วยยกระดับธุรกิจประกันภัยให้มีฐานข้อมูลอ้างอิงอุตสาหกรรมประกันภัยที่แท้จริง สนับสนุนการพิจารณาอัตราเบี้ยและบริหารความเสี่ยงของภาคธุรกิจ

นอกจากนี้ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ คือสามารถเข้าถึงข้อมูลการประกันภัยและสินไหมของตนเอง สร้างความเชื่อมั่นต่ออุตสาหกรรมโดยรวม โดยในอนาคตจะมีการเผยแพร่ข้อมูลในรูปแบบ “ข้อมูลแบบเปิด” (Open Data) และพัฒนาการเชื่อมต่อเพื่อการเผยแพร่ข้อมูลในลักษณะ Open API (Automatic Programming Interface) เพื่อให้สาธารณชนเข้าถึงข้อมูลกรมธรรม์และค่าสินไหมในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม โปร่งใสและส่งเสริมนวัตกรรมใหม่ด้านการประกันภัย

93 views
bottom of page