top of page
312345.jpg

“ณัฏฐ” ที่ปรึกษาการลงทุน...ยุออกหมัดสวน


ชี้ตลาดยังกังวล ยิ่งต้องเป็นประชาชนชาวสวน ซื้อหุ้นเข้าพอร์ตท่ามกลางข่าวร้าย โดยเฉพาะกรณีความกังวลของนักลงทุนสถานการณ์ขู่กันไปมาระหว่างเกาหลีเหนือ-อเมริกา “ณัฏฐ มหัทธนา” ที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทหารไทย ย้ำสถานการณ์วิกฤตคือจุดเริ่มตลาดกระทิง คาดปีหน้าดัชนีหุ้นไทยกลับไปหาไฮเก่า 1,789 สร้างสถิตินิวไฮใหม่ในรอบ 23 ปี

จากบรรยากาศการลงทุนท่ามกลางสถานการณ์คุกรุ่นเผชิญหน้าระหว่างเกาหลีเหนือ และอเมริกา.. 2 ประเทศที่มีความตึงเครียดมากขึ้นในช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาจนทำให้กระทบต่อบรรยากาศตลาดหุ้นที่ปรับลดลงไปตามๆ กันไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นอเมริกาเอง ตลาดในเอเชีย และตลาดในยุโรป รวมทั้งตลาดหุ้นไทย ซึ่งดัชนีปรับลดลงมาจนหลุดแนวจิตวิทยา 1,560 ให้ได้เห็น แม้จะกลับมาปิดเหนือ 1,560 ที่ 1,561.31 (11 สค 60) ก็ทำให้เกิดความไม่มั่นใจต่อสถานการณ์พอสมควร และตลาดดูเหมือนจะยังยืนได้ไม่แข็งนักในสัปดาห์ถัดมา แม้ว่าจะเริ่มเห็นท่าทีของผู้นำเกาหลีเหนือ และ ผู้นำอเมริกา ที่ลดดีกรีความอหังการลงมากันได้ระดับหนึ่งและเรื่องใครจะเป็นฝ่ายกดปุ่มเปิดศึกก่อนไม่น่าจะมีแล้ว แต่ตลาดหุ้นไทยก็ยังเฉื่อย ไม่สามารถกลับมายืนเหนือ 1,570 จุดได้(16 สค 60) โดยในตลาดหุ้นไทยนักลงทุนทุกกลุ่มไม่ค่อยมั่นใจในการเข้าตลาด นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 188.51 ล้านบาท พร็อบเทรดขายสุทธิ 131.42 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 111.57 ล้านบาท นักลงทุนบุคคลในประเทศขายสุทธิ 168.66 ล้านบาท

นายณัฏฐ มหัทธนา ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทหารไทย ให้ความเห็นกับ ทีมข่าว “ดอกเบี้ยธุรกิจ” เกี่ยวกับบรรยากาศการลงทุนอย่างน่าสนใจว่า หลังจากที่ได้ประเมินสถานการณ์ต่างๆแล้ว ว่าในส่วนของ บลจ.ทหารไทยเอง “มองสถานการณ์สวนตลาด” คือ เมื่อไหร่ที่มีความกลัวในตลาดจากเช่นที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้ ก็จะเห็นเป็นโอกาสเสมอ

“เรื่องของสหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ที่เข้ามาเพิ่มเติม

จะเห็นได้ว่าครึ่งปีที่ผ่านมาตลาดการเงินก็ถูกปกคลุมด้วยเรื่องเหล่านี้ ทั้งความเสี่ยงเรื่องภูมิรัฐศาสตร์หรือความเสี่ยงการเมืองรายประเทศ ... ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้มีผลทางตรงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น เพราะฉะนั้นทางบลจ.ทหารไทยค่อนข้างมองสวนตลาด”

นายณัฎฐ กล่าวอธิบายเพิ่มเติมว่า ช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาในเวลาที่มีข่าวดี เช่น ฝรั่งเศสมีการเลือกตั้งได้ประธานาธิบดีคนใหม่ คือ นายเอ็มมานูเอล มาครง ชนะเลือกตั้ง ตอนนั้นนักลงทุนจะชอบหุ้นยุโรปมาก แต่ทาง บลจ.ทหารไทยจะบอกว่าไม่ชอบ เพราะมีข่าวดีเข้ามาเต็มไปหมด ปรากฏว่าหลังจากนั้นหุ้นยุโรปก็ได้ปรับลดลงมา 2 เดือน ขณะที่ตลาดที่มีความเสี่ยงด้านการเมือง เช่น บราซิล ที่ทาง บลจ.ทหารไทย ได้พูดไปว่ามีปัญหาเรื่องคอร์รัปชั่นต่างๆ หรือจะมีผลต่อการปฏิรูปหรือไม่ กลับเป็นจังหวะที่น่าสนใจ แต่ปรากฏว่าเรื่องก็ได้จบลงเป็นที่เรียบร้อย กระบวนการปฏิรูปในบราซิลก็เดินหน้าต่อไป และหุ้นของบราซิลก็กลับขึ้นมาที่เดิม

หรือกรณีล่าสุดที่รัสเซียโดนมาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐอเมริการอบใหม่ แต่กรณีของรัสเซียมองว่ามาตรการคว่ำบาตรได้ถูกดำเนินการไปตั้งแต่ 2014 การขยายออกมารอบนี้ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

“เรื่องเหล่านี้ ก็เทียบเคียงได้กับกรณีสหรัฐอเมริกากับเกาหลีเหนือ ถ้าจำกันได้ครั้งแรกที่มีความตกใจกันมากเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งในตอนนั้นสหรัฐอเมริกาได้หันเรือรบ 2 ลำไปที่คาบสมุทรเกาหลี แล้วผู้นำเกาหลีเหนือได้บอกว่าจะสู้ตาย ส่งผลทำให้หุ้นเกาหลีหล่นลง แต่ในที่สุดก็ไม่มีอะไร หลังจากนั้นก็ปรับตัวฟื้นขึ้นมาเช่นกัน ซึ่ง จากสหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้ซ้อมรบเป็นประจำในช่วงนี้ แล้วช่วงนี้เกาหลีเหนือก็จะยิงจรวดลงน้ำ ที่จริงแล้วถือว่าเป็นเหตุการณ์ประจำปีที่เกิดขึ้น แต่ปีนี้ไม่เหมือนเดิม เพราะถ้ายังทำเหมือนเดิมคนก็จะไม่สนใจ จึงต้องทำอะไรที่ดูรุนแรงขึ้นอย่างที่เห็นกัน

ในภาษาการเงินหรือเศรษฐศาสตร์มีกฎอยู่อย่างหนึ่ง คือ เมื่อทำอะไรเหมือนเดิม เช่น ทำนโยบายการเงินหรือการคลังแบบเดิมผลก็จะน้อยลง เพราะฉะนั้นถ้าอยากได้ผลเท่าเดิมก็ต้องทำเยอะขึ้น เช่น การขู่เกาหลีเหนือในรอบนี้ต้องทำให้เยอะขึ้น ถึงจะได้ความตกใจแบบมากกว่าเดิม

หากดูเกมทั้ง 2 ฝ่ายถ้าสหรัฐอเมริกาเปิดฉากยิงก่อนก็อาจจะทำให้กลัวโดนยิงสวน เพราะว่าจรวดล่าสุดของเกาหลีเหนือมีศักยภาพยิงไกลไปถึงพื้นที่ส่วนใหญ่ของสหรัฐอเมริกาได้ ขณะที่ในส่วนของเกาหลีเหนือขู่ว่าจะเปิดฉากยิงที่เกาะกวมพื้นที่ของสหรัฐอเมริกา ทางเกาหลีเหนือก็ต้องตระหนักไว้ ซึ่งเหตุผลทำไมถึงต้องเป็นเกาะกวม เพราะถ้าไปยิงแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐอเมริกาแล้วเกิดความเสียหาย ทำให้สหรัฐต้องจัดการเกาหลีเหนืออย่างถึงที่สุดแน่นอนและด้วยศักยภาพก็เทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว

ในแง่นี้ผมมองว่า ทั้ง 2 ฝ่ายไม่มีเหตุผลที่เพียงพอที่คนใดคนหนึ่งจะเปิดฉากยิงก่อน”

นายณัฎฐ กล่าวว่า ให้เหตุผลที่ บลจ.มองสวนตลาด และนอกจากนี้ยังแนะนำด้วยว่า ให้นักลงทุนลงทุนสวนหมัด พร้อมยืนยันว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ตลาดหุ้น คือแหล่งลงทุนที่น่าสนใจที่สุด

“กรณีนี้ไม่ได้กระทบเศรษฐกิจ ในพื้นฐานของเศรษฐกิจยังเชื่อว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นต่อไป เชื่อหรือไม่ว่าตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและจีนในไตรมาส 2 ที่อาจจะมองว่าซบเซา แต่กลับฟื้นตัวดีขึ้นมา ดูได้จากดัชนีตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมากับตัวเลขที่คาดการณ์ ปรากฏว่าตัวเลขจริงของสหรัฐอเมริกาและจีนที่ออกมาดีกว่าเมื่อเทียบกับตัวเลขของนักวิเคราะห์ เพราะฉะนั้นจะมีการฟื้นตัวขึ้นของช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ เงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกาอาจจะไม่ได้หวือหวามาก แต่ก็เริ่มส่งสัญญาณแบบค่อยๆฟื้นตัวขึ้นมา

แบบนี้ทาง บลจ.ทหารไทย มองว่าเป็นความเสี่ยงมากกว่าในแง่ของคนที่ลงทุนตราสารหนี้แบบระยะยาวหรือลงทุนพันธบัตรระยะยาวที่มีดอกเบี้ยขึ้นแบบแรงก็จะส่งผลกระทบติดลบได้ ตรงนี้เป็นความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อที่คนจะมองไม่ค่อยเห็นและประมาทจนเกินไป ทำให้บลจ.ทหารไทย ยังคงชอบหุ้นมากกว่าพันธบัตร เพราะคิดว่าเงินเฟ้อน่าจะมา เพราะตอนนี้หากถามใครก็จะบอกว่าเงินเฟ้อต่ำอย่างประเทศไทยก็จะมีการลดดอกเบี้ย อย่างตอนนี้ดอกเบี้ยในพันธบัตรระยะสั้นต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบาย 1.5% แปลว่านักลงทุนมีความคิดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีการลดดอกเบี้ย ทำให้เป็นความกังวลมากเกินไปและนิ่งนอนใจว่าเงินเฟ้อจะต่ำลงไปเรื่อยๆ ส่วนราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นตากภาวะเศรษฐกิจจีนที่มีตัวเลขดีเกินคาด คิดว่าภูมิรัฐศาสตร์ความเสี่ยงด้านสงครามไม่น่ากลัวเหมือนความนิ่งนอนใจเรื่องของเงินเฟ้อที่จะไม่มา ในแง่ของนักลงทุนที่ลงทุนในตลาดพันธบัตรเป็นหลัก ซึ่งอยากให้มาสนใจเรื่องหุ้นบ้าง”

นายณัฏฐ มหัทธนา ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทหารไทย กล่าวอย่างมันใจว่า ในท่ามกลางข่าวเลวร้าย นั่นคือ จุดเริ่มต้นของ ตลาดกระทิง และสำหรับตลาดหุ้นของไทย กำลังจะเกิดตลาดกระทิง อีกทั้งจะได้เห็นดัชนีหุ้นไทย โต้กลับขึ้นไปหาระดับสูงสุดที่เคยทำไว้เมื่อปี 2537 หรือเมื่อ 23 ปีก่อนที่หุ้นไทยไม่เคยกลับขึ้นไปได้อีกเลยหลังจากที่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งและสถานการณ์ทั้งภายนอกภายในประเทศ นั่นคือระดับดัชนีที่ 1,789.16 จุด และจะสามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่หรือ นิวไฮ ได้ภายใน 1 ปีข้างหน้านี้

“เชื่อว่าหุ้นไทยนับตั้งแต่นี้ต่อไปอีก 1 ปีข้างหน้าจะไปถึงระดับ 1,789.16 จุดที่เคยทำนิวไฮไว้เมื่อ 5 กรกฎาคม 2537 จะมีโอกาสที่จะขึ้นไปถึงจุดนี้ได้

มีผู้เชี่ยวชาญบอกว่าตลาดกระทิง หรือ Bull Market ขึ้นมาอย่างแรงจะเริ่มต้นด้วยข่าวร้าย ...ซึ่งการที่ตลาดมองโลกในแง่ร้ายและนักลงทุนที่ใจยังไม่นิ่งพอก็จะปล่อยหุ้นออกมาให้นักลงทุนที่ใจนิ่งซื้อเก็บไว้

หลังจากนั้นคนจะมีความไม่แน่นอนเวลาที่หุ้นปรับตัวขึ้นมา

ตลาดกระทิงจะกลับมามีความแน่นอนก็ต่อเมื่อตลาดมีความแน่ใจแล้วนักลงทุนถึงจะเริ่มกลับเข้ามาซื้อหุ้น และตลาดกระทิงจะจบลงตรงที่ทุกคนไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็จะมีการซื้อหุ้นกันหมด

เพราะฉะนั้นจุดเริ่มต้นของตลาดกระทิงก็สามารถเกิดขึ้นได้ในภาวะความไม่แน่นอนแบบนี้ แต่ต้องด้วยเหตุและผลอย่าใช้อารมณ์มาก เรื่องเงินเฟ้อที่กำลังฟื้นตัวขึ้น ทาง บลจ.ทหารไทย มองว่านักลงทุนที่แออัดเข้าในตลาดพันธบัตรหรือตลาดตราสารหนี้ถ้าเกิดมีสัญญาณว่าเงินเฟ้อจะขึ้น แล้วถ้าคิดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดดอกเบี้ยหรือไม่ และถ้าไม่ปรับลดดอกเบี้ยแล้วพันธบัตรปรับตัวขึ้น เพราะถ้าผลตอบแทนขึ้นราคาพันธบัตรก็จะลงซึ่งจะส่งผลทำให้นักลงทุนกลับเข้าสู่ตลาดหุ้น ทำให้คิดว่าปีหน้ามีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะกลับไปทำนิวไฮอีกครั้งหนึ่ง”

 

Image: Pixabay

59 views
bottom of page