top of page
379208.jpg

KTC ปรับแผนรับเกณฑ์ใหม่ธปท. - ครึ่งปีแรกกำไร 1.5 พันล.โต 25%


เคทีซี เตรียมปรับแผนธุรกิจรับมือเกณฑ์คุมเพดานสินเชื่อของแบงก์ชาติ เน้นสร้างความเชื่อมั่นลูกค้าใหม่ เพิ่มโอกาสสร้างความผูกพันกับแบรนด์ ทั้งส่งผลดีคุณภาพหนี้ ด้านผลงานครึ่งปีแรกกำไรแล้ว 1.5 พันล้าน โต 25% จากรายได้โต 12% ยอดลูกค้าพุ่งทะลุ 3 ล้านบัญชี หนี้เสียรวมลดลงเหลือแค่ 1.57%

นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) เปิดเผยว่า แผนงานของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลัง จะเป็นการปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับเกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าใหม่ที่เป็นเป้าหมาย ซึ่งเกณฑ์ใหม่นี้จะมีส่วนช่วยให้ผู้บริโภคคำนึงถึงความสำคัญของการมีวินัยในการบริหารค่าใช้จ่ายมากขึ้น ทำให้ภาพรวมของพอร์ตลูกหนี้ทั้งอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น และยังส่งผลดีต่อเนื่องให้กับพอร์ตลูกหนี้ของบริษัทด้วยเช่นกัน รวมทั้งยังมีส่วนสนับสนุนให้สมาชิกมีความผูกพันกับแบรนด์และบัตรเครดิตหรือบัตรกดเงินสดที่ถืออยู่มากขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทจะมุ่งเน้นการรักษาความสัมพันธ์กับฐานสมาชิกที่มีอยู่ ถึงแม้ว่าสมาชิกเดิมจะไม่ได้รับผลกระทบจากกฎเกณฑ์ใหม่ โดยบริษัทจะรุกทำการตลาดแบบไม่มีข้อจำกัด เพื่อให้สมาชิกทุกพื้นที่ที่อาศัยอยู่ ได้รับความคุ้มค่าและมีความสุขทุกครั้งจากการใช้จ่ายผ่านบัตรเคทีซี ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายผ่านร้านค้าต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด และต่างประเทศ หรือผ่านร้านค้าออนไลน์ ด้วยแคมเปญการตลาดแบบผสมผสานที่ครอบคลุมทุกหมวดการใช้จ่ายหลัก และตอบสนองไลฟ์สไตล์เฉพาะกลุ่ม พร้อมทั้งเตรียมพร้อมรับกระแสใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น เพื่อให้บัตรเคทีซีเป็นบัตรหลักที่ตอบโจทย์การใช้จ่ายของผู้บริโภคด้วยประสบการณ์ที่น่าพอใจ

สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาส 2/2560 ยังคงความสามารถในการสร้างรายได้และการทำกำไร จากยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรที่เติบโต และจากยอดลูกหนี้ทั้งธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงยังสามารถควบคุมให้สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) อยู่ในระดับใกล้เคียงเดิม โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 787 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา 7% และเพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันของปี 2559 ซึ่งเท่ากับ 580 ล้านบาท ขณะที่ช่วง 6 เดือนที่กำไรสุทธิเท่ากับ 1,519 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 5.89 บาท ซึ่งเป็นผลจากรายได้โต 12% มากกว่าค่าใช้จ่ายรวมที่เพิ่มขึ้น 8% จากค่าธรรมเนียมจ่ายให้แก่บริษัทภายนอก รวมถึงการตัดหนี้สูญและสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่เพิ่มขึ้นตามการเติบโตของพอร์ต

ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2560 บริษัทมีพอร์ตลูกหนี้การค้ารวมสุทธิเท่ากับ 61,645 ล้านบาท เติบโต 10% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า ฐานสมาชิกรวม 3.0 ล้านบัญชี ขยายตัว 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็น บัตรเครดิต 2,180,786 บัตร ยอดหนี้บัตรเครดิตสุทธิรวม 40,991 ล้านบาท สินเชื่อบุคคล 850,383 บัญชี ยอดหนี้สินเชื่อบุคคลสุทธิรวม 20,503 ล้านบาท ลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) รวมอยู่ที่ 1.57% ลดลงจาก 1.91% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย NPL บัตรเครดิตและ NPL สินเชื่อบุคคล อยู่ที่ 1.22% และ 0.88% ตามลำดับ

นายระเฑียร กล่าวต่อไปว่า ในไตรมาส 2/2560 บริษัทมีรายได้รวม 4,820 ล้านบาท เพิ่มจากการขยายตัวของพอร์ตลูกหนี้รวมที่เพิ่มขึ้น 10% ทำให้รายได้ดอกเบี้ย (รวมค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน) เพิ่มขึ้น 13% และรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น 9% ขณะที่ค่าใช้จ่ายการบริหารงานเท่ากับ 1,751 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร ค่าธรรมเนียมจ่ายและค่าใช้จ่ายในการบริหารงานอื่นที่เพิ่มขึ้นไม่มากนัก ขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายการตลาดลดลงมาก ประกอบกับบริษัทมีหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าค่าใช้จ่ายทางการเงินจะเพิ่มขึ้นที่ 8% แต่ฐานจำนวนเงินกู้ยืมที่เพิ่มขึ้นมากกว่า ทำให้ต้นทุนเงินทุนลดลงจาก 3.30% ในไตรมาส 2/2559 เหลือเพียง 3.23% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีนี้

ส่วนวงเงินสินเชื่อที่บริษัทกู้ยืมจากตลาดการเงิน ในไตรมาสที่ 2/2560 บริษัทมีวงเงินสินเชื่อคงเหลือ (Available Credit Line) 24,890 ล้านบาท เป็นวงเงินจากธนาคารกรุงไทย 18,030 ล้านบาท และจากธนาคารพาณิชย์อื่นๆ 6,860 ล้านบาท อย่างไรก็ดี บริษัทมีต้นทุนการเงินครึ่งปีลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 3.20% และมีอัตราส่วนของหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 5.12 เท่า ซึ่งต่ำกว่าภาระผูกพันที่กำหนดไว้ที่ 10 เท่า

9 views
bottom of page