BANPU โชว์กล้ามอวดแกร่ง ครึ่งปีมีกำไรสุทธิ 3,670 ล้านบาท พลิกฟื้นตัวจากปีก่อนที่กำไรกระจิ๋ว 96 ล้านบาท จากราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของไตรมาสที่ 2/2560 ปรับเพิ่มขึ้น 44% แถมรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจไฟฟ้าในระดับที่ดี โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าหงสา เผยโอกาสลงทุนในธุรกิจพลังงานยุคใหม่ที่สอดคล้องกับธุรกิจพลังงานโลกในอนาคตยิ่งขึ้น
บริษัท บ้านปู (BANPU) ซึ่งประกาศตัวว่าเป็นผู้นำด้านธุรกิจพลังงานแห่งเอเชีย รายงานผลประกอบการครึ่งปีแรก 2560 ว่ามีรายได้จากการขายรวม 1,266 ล้านดอลลาร์ (43,425 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 244 ล้านดอลลาร์ ( 8,369 ล้านบาท) หรือเพิ่มขึ้น 24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิรวม 107 ล้านดอลลาร์ (3,670 ล้านบาท) พลิกฟื้นตัวจากกำไรสุทธิ 2.8 ล้านดอลลาร์ (96 ล้านบาท) จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากราคาขายถ่านหินของบริษัทที่เพิ่มขึ้น 44% ในไตรมาสที่ 2/2560
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู ชี้แจงว่า ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของบ้านปูเติบโตตามเป้าหมาย โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากราคาถ่านหินในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของบริษัทฯ สูงขึ้น ประกอบกับธุรกิจก๊าซธรรมชาติที่รับรู้กำไรเพิ่มขึ้นจากการลงทุนในไตรมาสที่ 1/2560 และธุรกิจไฟฟ้าที่เดินเครื่องผลิตได้ต่อเนื่องในไตรมาสนี้
สำหรับธุรกิจถ่านหิน ในไตรมาสที่ 2/2560 มีรายได้จากการขาย 582 ล้านดอลลาร์(19,963 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 3% จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 36% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากราคาขายเฉลี่ยของบริษัทในไตรมาสนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยราคาขายเฉลี่ยของไตรมาสนี้ อยู่ที่ 66.66 ดอลลาร์ต่อตัน เพิ่มขึ้นถึง 44% จาก 46.23 ดอลลาร์ต่อตันในปีก่อน และเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จาก 65.86 ดอลลาร์ต่อตันในไตรมาสก่อนหน้า มีปริมาณการขาย 8.71 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 0.13 ล้านตันจากไตรมาสก่อนหน้า แบ่งเป็นปริมาณการขายจากเหมืองในสาธารณรัฐอินโดนีเซีย 5.56 ล้านตัน และออสเตรเลีย 3.15 ล้านตัน
สำหรับราคาขายเฉลี่ยของบริษัท ทั้งจากเหมืองในสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และสาธารณรัฐประชาชนจีน เพิ่มขึ้นตามราคาเฉลี่ยของถ่านหินในตลาดโลก ที่เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อนหน้าและ 52% จากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 70.43 ดอลลาร์ต่อตัน
ธุรกิจไฟฟ้า มีรายได้จากการขายรวมจากธุรกิจ ไฟฟ้า ไอน้ำ และอื่นๆ 43 ล้านดอลลาร์(1,475 ล้านบาท) ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรในระดับที่ดีจากโรงไฟฟ้า BLCP และ โรงไฟฟ้าหงสาที่สามารถดำเนินงานได้ราบรื่นต่อเนื่อง ซึ่งนับว่าเป็นส่วนแบ่งกำไรที่สูงที่สุดตั้งแต่โรงไฟฟ้าเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์มาเป็นเวลาประมาณ 2 ปี ส่งผลให้ธุรกิจไฟฟ้าในไตรมาสนี้มี EBITDA 59 ล้านดอลลาร์ ( 2,024 ล้านบาท)
ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ การลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา มีรายได้ 8 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 274 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 1 ล้านดอลลาร์(ประมาณ 34 ล้านบาท) หรือ 14% จากไตรมาสที่ผ่านมา เป็นผลจากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนแหล่งก๊าซเพิ่มเติมสองแหล่งในไตรมาสที่ผ่านมา
นางสมฤดี กล่าวว่า บ้านปู ได้กำหนดกลยุทธ์ Banpu Greener & Smarter คือ การดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และใช้พลังงานอย่างชาญฉลาดคุ้มค่ามากขึ้น โดยอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน และเทคโนโลยีจัดการพลังงาน เพิ่มเติมจากธุรกิจถ่านหินที่บริษัท มีความแข็งแกร่งและเชี่ยวชาญอยู่แล้ว เพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นบริษัทพลังงานครบวงจร ตามทิศทางอุตสาหกรรมพลังงานโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
“แนวโน้มการบริโภคพลังงานโลกยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง พลังงานฟอสซิลทั้งถ่านหินและน้ำมันได้รับการคาดการณ์ว่าจะยังคงเติบโต เพราะเป็นแหล่งพลังงานที่ยังมีความมั่นคงสูงที่สุด
อย่างไรก็ตามปัจจุบันทั่วโลกมีความห่วงใยสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะข้อตกลงปารีสที่กำหนดร่วมกันว่า จะช่วยกันควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียสภายในปี 2593 - 2643 เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อนโยบายพลังงานของโลกในอนาคต ส่งผลให้ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อเข้ามาเสริมปริมาณพลังงานพื้นฐานที่มีอยู่เดิม ประกอบกับการเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้พลังงานของคนในโลกสมัยใหม่
เรามองว่านี่คือ โอกาสในการลงทุนธุรกิจพลังงานรูปแบบใหม่ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยการนำเทคโนโลยีมาใช้บริหารจัดการพลังงาน เพื่อตอบสนองวิถีชีวิตของผู้คนในโลกยุคดิจิตอลมากขึ้น ซึ่งน่าจะได้เห็นการลงทุนที่เป็นรูปธรรมในเร็วๆ นี้”