
เอเซียพลัส มองหุ้นไทยไตรมาส 3/2560 เคลื่อนไหวในกรอบจำกัด ปัจจัยบวกในประเทศหนุน แต่มีความเสี่ยงจากภายนอก ขณะที่ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย(FETCO) ประกาศดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนเดือนกรกฎาคม 2560 ปรับตัวลดลง และอยู่ในภาวะทรงตัวเป็นเดือนที่ 5 …ด้านแอพเพิล เวลธ์ มองเห็นความเสี่ยง/ฝรั่งชะลอลงทุน
สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส (ASPS) มองบรรยากาศการลงทุนในหุ้น ไตรมาส 3/2560 ขยับตัวลำบาก ภายใต้ปัจจัยเสี่ยงที่มีน้ำหนักต่อการลงทุนมาจากภายนอก ทั้งการเมืองยุโรป และการที่ธนาคารกลางสำคัญๆ ของโลกเตรียมใช้นโยบายการเงินตึงตัวตามสหรัฐขณะที่ปัจจัยภายในประเทศเป็นบวก โดยเฉพาะการลงทุนของภาครัฐ การส่งออกที่มีสัญญาณที่ดีขึ้น และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน มีแนวโน้มดีขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ที่ผ่านมา และจะมีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่องถึงไตรมาส 4
ดังนั้นจึงแนะนำกลยุทธ์การลงทุน เป็น Selective โดยเน้น Domestic Play Theme โดยประเมิน SET Index ไตรมาส 3 เคลื่อนไหวในกรอบ 1,560-1,595 จุด
นางภรณีทองเย็น รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส กล่าวว่าปัจจัยที่มีน้ำหนักต่อการลงทุนในไตรมาส 3/2560 เป็นปัจจัยภายนอก เศรษฐกิจโลกปี2560 มีแนวโน้มดีขึ้นจากปี2559 เป็นการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ทั้งประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนา โดย IMF ประเมิน GDP Growth โลกปีนี้ไว้ที่ 3.5% จาก 3.1% เมื่อปีที่แล้ว
สิ่งที่ต้องจับตาดูคือ ธนาคารกลางสำคัญๆ ของโลก เช่น ยุโรปและอังกฤษจะใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวตามสหรัฐหรือไม่ซึ่งเชื่อว่าหากยุโรปและอังกฤษจะปรับขึ้นดอกเบี้ยก็น่าจะเห็นในปี 2561
ไตรมาส 3 นี้ การเมืองในยุโรปยังถือเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาจะผ่อนคลายลง
หลังเลือกตั้งฝรั่งเศสเป็นไปตามคาด แต่ยังมีเลือกตั้งในอิตาลีช่วงปลายเดือน กันยายนนี้ ซึ่งมีความเสี่ยงที่อาจถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (Italexit) ตามอังกฤษ อาจกระทบต่อการฟื้นตัวของยุโรป เนื่องจากอิตาลีมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของยุโรป
“ปัจจัยบวกต่อการลงทุนหลักๆ มาจากภายในประเทศ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการ
ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่คาดว่าจะเริ่มมีเม็ดเงินเข้าสู่ตลาด จากการลงมือก่อสร้างรถไฟฟ้า 3
เส้นทาง รวม 2.2 แสนล้านบาท ที่ประมูลเสร็จไปตั้งแต่ปลายปี 2559 เข้ามาบางส่วน ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในอีก 3 ปี ข้างหน้า
ในช่วงครึ่งหลังปีนี้จะมีการประมูลมูลรถไฟฟ้าทางคู่ 5 เส้น ที่มีการขายซองแล้วมูลค่า 8 หมื่นล้านบาทรวมถึงจะมีการเสนอ ครม.เพื่ออนุมัติรถไฟฟ้าอีก 6 เส้นทางมูลค่ากว่า 3.3 แสนล้านบาท ภายในเดือนก.ค.นี้ และน่าจะมีการเปิดประมูลและสรุปรายชื่อผู้ชนะประมูลภายในสิ้นปีนี้
ด้านการส่งออกคาดว่าปีนี้จะดีขึ้นจากปีที่แล้ว ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะสหรัฐ อังกฤษ และจีน โดยภาพรวมคาดว่ากลไกการขับเคลื่อนเศรษฐกิจน่าจะทำงานได้ดีขึ้น โดยเฉพาะการบริโภคภาคครัวเรือน และการลงทุนภาคเอกชนน่าจะเห็นการฟื้นตัวนับจากนี้ ซึ่งน่าจะทำให้ GDP Growth ของไทยในปี2561 มีแนวโน้มสดใสกว่าปี2560 ที่สายงานวิจัยประเมินไว้ที่ 3.5%
ส่วนแนวโน้มกำไรของ บจ. แม้ในไตรมาส 2 กำไรจะลดลงจากไตรมาส 1 ที่ทำได้2.85แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 28% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2560 เพราะเป็น Low Season มีวันหยุดยาวหลายช่วงและราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยเฉพาะน้ำมันและเหล็กปรับตัวลง ทำให้มีความเสี่ยงเกิด Stock Loss ขณะที่การบันทึกรายการพิเศษ ราว 2 หมื่นล้านบาท ที่เกิดขึ้นในไตรมาส 1ไม่น่าจะเกิดขึ้นอีกในไตรมาส 2
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ากำไรของ บจ.จะกลับมาฟื้นตัวได้ช่วงครึ่งปี หลัง ด้วยปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ASPS จึงประเมินว่า SET Index ในไตรมาส 3 ปี นี้น่าจะแกว่งตัวในกรอบ 1,560-1,595 จุด
FETCO ชี้เดือนกรกฎาคม
ดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุนยังหด
ดร.สันติ กีระนันทน์ ผู้แทนสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนกรกฎาคม 2560 ซึ่งสะท้อนความเชื่อมมั่นของนักลงทุนอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงเล็กน้อย ในภาวะทรงตัวจากความเชื่อมั่นในนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และภาพรวมภาวะเศรษฐกิจไทยที่มีการฟื้นตัวขึ้นตามการคาดการณ์ ขณะที่ทิศทางนโยบายทางการเงินของสหรัฐโดยเฉพาะนโยบายอัตราดอกเบี้ยและการลดขนาดงบดุลของสหรัฐ และปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ เป็นปัจจัยที่นักลงทุนจับตามอง สำหรับตลาดหุ้นไทย ดัชนีฯเคลื่อนไหวปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า (กันยายน 2560) อยู่ที่ 100.01 อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” (Neutral) ซึ่งเท่ากับปรับตัวลดลง 1.62% จากเดือนที่ผ่านมาที่ 101.66 โดยกลุ่มนักลงทุนรายบุคคลปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ไม่เปลี่ยนแปลง และกลุ่มสถาบันภายในประเทศปรับตัวลดลงเล็กน้อย หมายความว่า ทั้ง 3 กลุ่มยังคงอยู่ในระดับทรงตัวเช่นเดิม ขณะที่กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ ปรับตัวลดลงเล็กน้อย อยู่ที่ระดับร้อนแรงเช่นเดียวกับเดือนก่อน
สำหรับหมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดบริการรับเหมาก่อสร้าง (CONS) จากปัจจัยหนุนเรื่องของนโยบายการลงทุนของภาครัฐ ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ นโยบายทางการเงินของสหรัฐ
“ตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมามีการเคลื่อนไหวไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยภาวะเศรษฐกิจของโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆมีทิศทางที่ดีขึ้น การลงทุนเริ่มฟื้นตัว
อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังคงรอความชัดเจนจากผลของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐและนโยบายการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงนโยบายทางการเงินของสหรัฐในการพิจารณาลดขนาดงบดุล การปรับโครงสร้างของเศรษฐกิจจีน และปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์โลก โดยตลาดหุ้นยุโรป นักลงทุนยังคงติดตามความคืบหน้าของกระบวนการ BREXIT หลังผลการเลือกตั้งของอังกฤษ ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ สำหรับปัจจัยภายในประเทศ นโยบายการลงทุนของภาครัฐและตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนสำหรับการลงทุน”
นายสุรัตน์ จิรจรัสพร หัวหน้าฝ่ายบริการราคาตราสารหนี้และพัฒนาผลิตภัณฑ์ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย(Interest Rate Expectation Index) เดือนกรกฎาคม 2560 “ผลจากดัชนีคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะทรงตัวที่ระดับ 1.50% ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี และ 10 ปี คาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งปัจจัยหลักมาจากอุปทานของพันธบัตรรัฐบาลและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ”
แอพเพิล เวลธ์
มองเห็นความเสี่ยง/ฝรั่งชะลอลงทุน
บล.แอพเพิล เวลธ์ ชี้หุ้นไทยเดือนกรกฎาคม ดัชนีเสี่ยงปรับฐาน หลังไม่สามารถผ่านแนวต้าน 1,600 จุด แนวโน้มผลประกอบการ บจ.ไตรมาส 2/60 ทรุด ทิศทาง Fund Flow เริ่มแผ่ว
นายอภิชัย เรามานะชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ แอพเพิล เวลธ์ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในเดือน มิถุนายนที่ผ่านมา เคลื่อนไหวในกรอบ 1,560-1,590 จุด โดยปริมาณการซื้อขายค่อนข้างเบาบางไม่สนับสนุนการผ่านแนวต้านสำคัญบริเวณ 1,600 จุด ขณะที่สัญญาณทางเทคนิคดัชนีเริ่มส่งสัญญาณการอ่อนตัวอีกครั้ง ส่งผลให้ทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทยในเดือน ก.ค. มีแนวโน้มปรับฐานลงสู่ระดับแนวรับบริเวณ 1,530-1,550 จุด
ปัจจัยสำคัญที่กดดันดัชนีมาจากแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/60 ของบริษัทจดทะเบียนที่คาดว่าจะปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า โดยฝ่ายวิเคราะห์ประมาณการณ์ในเบื้องต้น หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์คาดว่ากำไรสุทธิจะชะลอตัว -2.70% แต่ยังขยายตัวได้ราว 1% อย่างไรก็ตาม สินเชื่อในครึ่งปีหลังคาดว่าจะขยายตัวต่อเนื่องจากการปล่อยสินเชื่อโครงการก่อสร้างภาครัฐ
ขณะที่กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีจากราคาน้ำมันดิบดูไบที่ช่วงไตรมาส 2 นี้ ที่ปรับตัวลดลงกว่า 6 ดอลลาร์/บาร์เรล คาดส่งผลให้กำไรสุทธิในกลุ่มนี้มีโอกาสชะลอตัวราว -40% กลุ่มสื่อสาร ADVANC, DTAC ยังมีแนวโน้มกำไรสุทธิชะลอตัวราว -10-25%
“ปัจจัยต่างประเทศ ประเด็นการเริ่มลดนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ยุโรป (ECB) และ ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ในช่วงปลายปีนี้ ยังจะส่งผลให้ Fund Flow ของนักลงทุนต่างชาติชะลอตัว”