
ผมนั่งเขียนบทความนี้ในวันที่ 1 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันแรงงานสากลและวันแรงงานแห่งชาติ ผมถือว่าผมเองก็น่าจะจัดอยู่ในกลุ่มผู้ใช้แรงงานได้ เพราะเวลาไปติดต่องานหน่วยราชการ เขามักจะกรอกอาชีพให้ว่าผมมีอาชีพรับจ้างมาแต่ไหนแต่ไร เลยถือโอกาสหยุดงานวันแรงงานด้วยหวังว่านายจ้างทั้งหลายจะไม่ยื่นซองขาวให้
ความจริงแล้วผมไม่กล้าเขียนเรื่องของแรงงาน โดยเฉพาะปัญหาของผู้ใช้แรงงานและค่าแรงงาน เพราะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ แต่เผอิญได้สัมผัสกับผู้ใช้แรงงานมาไม่น้อย โดยเฉพาะผู้ใช้แรงงานก่อสร้างตามไซต์งานที่ต้องทำงานกลางแดด ขุดดิน ผสมปูน ผูกเหล็ก โบกปูน เพื่อแลกกับค่าแรงงานขั้นต่ำ เนื่องจากเป็นงานหนัก ทำให้ร่างกายปวดเมื่อย จึงต้องโด้ปด้วยการดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลังสารพัดยี่ห้อที่มีส่วนผสมของกาแฟอีนและสารเคมีกระตุ้นประสาท และผ่อนคลายงานหนักด้วยการล้อมวงดื่มสุราคุยกันในแคมป์คนงาน
ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ถ้าคิดกันเป็นสัดส่วนต่อค่าจ้างรายวันแล้ว น่าจะสูงพอสมควร จึงต้องประหยัดเรื่องอาหารการกิน เก็บผักเก็บหญ้า ตกปลา ทอดแห ถ้ามีบึงมีบ่ออยู่ใกล้ๆ กินกับข้าวเหนียวข้าวเจ้าไปวันหนึ่งๆ ลูกตัวเล็กๆ วิ่งเล่นดินเล่นทรายไป เห็นแล้วน่าเห็นใจ เพราะสภาพงานและสิ่งแวดล้อมทำให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างนั้น ยิ่งเมื่อไรที่ราคาอาหารแพงขึ้น คนงานเหล่านี้ซึ่งต้องซื้อแพงกว่าชาวบ้านทั่วไปเพราะต้องซื้อจากรถขายอาหารสดที่มาขายที่ไซต์งาน แบ่งขายขีดครึ่งขีด เงินค่าจ้างที่ได้มายิ่งชักหน้าไม่ถึงหลัง จึงหวังรวย ซื้อหวย รอวันถูกลอตเตอรี่ ทำให้ต้องเบิกเงินล่วงหน้าจากนายจ้างบ้าง กู้นายทุนเงินกู้บ้าง เป็นหนี้เป็นสินแบบปลดไม่ออก ร้องก็ไม่มีใครฟัง
เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ทำไมปัญหาเรื่องแรงงานจึงเป็นปัญหาอมตะนิรันดร์กาล ทั้งๆ ที่ประเทศไทยโชคดี อุดมสมบูรณ์ โยนเมล็ดพืชอะไรลงดินก็งอกงามให้เก็บเมล็ดเก็บใบกินเหมือนที่คนงานทำให้ผมเห็น เลยแอบซื้อเมล็ดพันธุ์มาให้เขาปลูกกัน ช่วยลดค่าครองชีพตอนที่ปลูกบ้าน ไม่ให้นายจ้างเขาเห็นเพราะเขาห้ามไว้ว่าอย่าให้อะไรพิเศษกันคนงานเพราะจะทำให้ “เคยตัว”
ผมรู้จักใครบางคนที่บริจาคเงินทำบุญหลายล้านบาท แต่พอบอกให้แบ่งเงินบางส่วนมาให้คนงานในร้านเป็นโบนัสที่ทำงานหนักบ้าง กลับไม่เห็นด้วย ทั้งที่ผมเชื่อว่าการทำบุญหรือทำทาน ถ้าทำด้วยกุศลเจตนาแล้วจะได้ผลไม่ต่างกัน ส่วนประเภททำบุญเอาหน้าหรือหวังผลตอบแทนทางธุรกิจนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง คงไปขอให้แบ่งเงินมาทำทานไม่ได้ เพราะการทำบุญของคนเหล่านี้เป็นแค่ค่าใช้จ่ายที่ลงทุนเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวหรือธุรกิจ ไม่สามารถโอนบัญชีจากการทำบุญมาทำทานได้
ผมออกนอกเรื่องนอกราวมานาน ความจริงการที่หยุดงานวันแรงงานทำให้มีเวลาว่างนั่งคิดและอยากถ่ายทอดประสบการณ์ให้ท่านผู้อ่าน โดยเฉพาะท่านที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาวฟังว่า ถ้าท่านมีโอกาสควรจะรีบเปลี่ยนอาชีพจากการ “รับจ้าง” มาเป็น “นายทุน” หรือ “ผู้จ้าง” หรือ “ผู้ประกอบการ” เอง ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจสมัยใหม่นั้นจะทำให้อาชีพการ “รับจ้าง” เป็นอาชีพที่มีความเสี่ยงสูงที่จะไม่มีงานทำ
เจ้าสัวใหญ่คนหนึ่งท่านบอกว่า ปัจจุบันในโรงงานใช้คนงานแค่ 7 คนในการคุมไลน์การผลิตต่อกะ วันหนึ่งมี 3 กะ ก็ใช้คนงานแค่ 21 คน ทำการผลิตในโรงงานขนาดใหญ่
รัฐบาลตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เป็นการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับสูงในการผลิตที่เรียกว่าไทยแลนด์ 4.0 ถ้ามองในแง่ดี คือถ้าเศรษฐกิจได้รับการพัฒนาเข้าสู่จุดนั้นแล้ว น่าจะมีการสร้างงานเพิ่มขึ้นในภาพรวมแม้ว่าการใช้แรงงานต่อหน่วยการผลิตจะลดลง แต่ต้องยอมรับความจริงว่า ก่อนจะเข้าสู่จุดที่เศรษฐกิจก้าวเข้าสู่จุดที่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้อย่างสมบูรณ์ ต้องมีช่วงเปลี่ยนผ่านเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย และผู้ประกอบการจำเป็นต้องลดต้นทุนการผลิตโดยเฉพาะด้านแรงงานลงเพื่อลงทุนด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น เช่น การใช้หุ่นยนต์เพื่อทำงานแทนคนในสายการผลิต เป็นต้น
เพราะฉะนั้น ในปัจจุบันใครมีอาชีพ “รับจ้าง” คงจะต้องรีบพิจารณาแนวทางเพื่อรับมือ “ปัญหา” หรือ “โอกาส” ในอนาคต กล่าวคือ ถ้ารีบพัฒนาตนเอง เรียนรู้ทั้งด้านวิชาการ วิชาชีพ และทักษะด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อปรับตัวให้รับกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นคือโอกาสของคนที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าไม่รีบพัฒนาตนเอง การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นหรือกำลังเกิดขึ้นจะกลายเป็นปัญหาที่แกะไม่ออก และคนๆ นั้นอาจเป็น 1 ใน 2 ล้านกว่าคนที่จะตกงานในอนาคต ในขณะที่เมืองไทยยังไม่มีรัฐสวัสดิการให้คนงานที่ตกงานไปเบิกเบี้ยว่างงานเหมือนประเทศที่เจริญแล้ว
ส่วนทางเลือกอีกทางหนึ่งคือ การเปลี่ยนอาชีพรับจ้างมาเป็นผู้ประกอบการ ประกอบอาชีพอิสระที่ถนัด หรือที่นิยมเรียกว่า สตาร์ทอัพ แบบฝรั่ง ตามแฟชั่นยุคนี้ที่จะต้องตั้งชื่อโครงการเป็นภาษาฝรั่ง และเปลี่ยนแนวทางการประกอบอาชีพจากลูกจ้างมาเป็นนายจ้างของตัวเอง หรือถ้าธุรกิจเติบโตเป็นนายจ้างของลูกจ้างที่จะจ้างเข้ามาช่วยทำงานด้วยนั้น ยิ่งเปลี่ยนเร็วเท่าไรยิ่งมีโอกาสประสบความสำเร็จมากเท่านั้น
ทำไมผมถึงมีความเห็นว่าการเปลี่ยนอาชีพจากการรับจ้างมาประกอบอาชีพอิสระนั้น ยิ่งเร็วยิ่งดี เพราะผมเคยมีความคิดว่าสักวันหนึ่งจะต้องเป็นผู้ประกอบการหรือที่คนในยุคผมเรียกว่า เถ้าแก่ ให้ได้เหมือนเจ้าสัวหลายคนที่ผมรู้จัก แต่จนแล้วจนรอดไม่อาจตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพ (ไม่ใช่เปลี่ยนงาน) เพราะเผอิญตกเป็นเหยื่อแห่งความสำเร็จของตัวเอง กล่าวคือในฐานะ “ลูกจ้าง” ผมน่าจะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานคนหนึ่ง คือเริ่มจากการเป็นเสมียนพนักงานระดับล่างจนได้เป็นผู้บริหารสูงสุดขององค์กรขนาดใหญ่ มีทรัพย์สินให้บริหารหลายแสนล้านบาท จึงทำให้การเปลี่ยนอาชีพรับจ้างมาประกอบอาชีพส่วนตัวดูเหมือนจะไม่คุ้มค่า และยิ่งอายุเพิ่มขึ้นตามวันเวลามากเท่าไร ยิ่งทำให้ไม่กล้าตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพ เพราะเห็นตัวอย่างจากเพื่อนๆ หลายคนที่เรียนโรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชย์มาด้วยกัน ปัจจุบันเป็นเจ้าของกิจการใหญ่โตระดับเจ้าสัวว่า ก่อนที่เขาจะตั้งตัวได้ต้องผ่านการล้มลุกคลุกคลานหลายครั้งหลายหน บางคนเกือบล้มละลาย แต่เผอิญเขาตัดสินใจที่จะเป็นเถ้าแก่เมื่อยังหนุ่ม เมื่อล้มแล้วจึงลุกขึ้นมาทำงานใหม่ได้ แต่ถ้าอายุมากแล้ว เมื่อล้มแล้วคงล้มเลย ลุกไม่ขึ้น เพราะการลองผิดลองถูกนั้นไม่ง่ายและต้องใช้เวลา บางครั้งต้องอาศัยโชค โอกาส และจังหวะเวลาช่วยด้วย
ผมจึงยังนึกเสียใจว่า ถ้าใจกล้าๆ รีบเปลี่ยนอาชีพมาเป็นเถ้าแก่เล็กๆ เสียตั้งแต่ยังหนุ่ม ผมอาจเปลี่ยนฐานะจากเถ้าแก่เล็ก เป็นเถ้าแก่น้อย และเป็นเจ้าสัวใหญ่ก็ได้ ใครจะรู้ คงไม่ต้องเป็นลูกจ้างตั้งแต่หนุ่มจนแก่เหมือนทุกวันนี้
เขียนมาตั้งนาน เพื่อสรุปว่าขณะนี้โลกได้ก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ ประเทศไทยเป็นแค่ประเทศเล็กๆ ในแผนที่โลก คงหลีกเลี่ยงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นไม่ได้ อาชีพบางอาชีพจะถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่ ซึ่งถ้าไม่ประมาทอย่าไปเชื่อว่าเฉพาะบางอาชีพเท่านั้นที่จะถูกทดแทนด้วยระบบเทคโนโลยีและหุ่นยนต์ ความจริงแล้วทุกอาชีพมีสิทธิ์ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทั้งสิ้น จึงจำเป็นที่จะต้องตามโลกให้ทันและพัฒนาความรู้และทักษะให้สามารถรับความเปลี่ยนแปลงตามเทคโนโลยีให้ได้ อย่าเป็นคนตกยุคก่อนเวลา และถ้าเป็นไปได้ควรรีบตัดสินใจเป็นนายของตัวเอง กำหนดชะตาชีวิตของตนเองก่อนที่จะหมดโอกาสในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเมื่ออายุมากขึ้นและโอกาสน้อยลง โดยหันไปประกอบอาชีพที่ตัวเองชอบจะดีที่สุด
อย่าไปรอจนวันแรงงานสากลถูกแทนที่ด้วยวันหุ่นยนต์สากล แล้วค่อยเปลี่ยนเลย ถึงตอนนั้นช้าไปแล้วครับ