
ผอ.บู๊มั่นใจ...แก้หนี้นอกระบบรอบนี้เวิร์ก...เวิร์กลูกหนี้เข้าถึงแหล่งเงินดอกเบี้ยถูก เงื่อนไขผ่อนปรน หนี้ NPL ก็กู้ได้ถ้าปรับแก้วินัยทางการเงิน ล่าสุด...แบงก์ออมสินอัดฉีดเพิ่ม 5 พันล้านบาท ปล่อยกู้ลูกหนี้นอกระบบและผู้ที่ต้องใช้เงินฉุกเฉิน ฝั่งเจ้าหนี้นอกระบบเจอไม้แข็ง โทษอาญาทั้งจำทั้งปรับ ให้โอกาสกลับตัวเป็นเจ้าหนี้ในระบบ Pico Finance ปล่อยกู้ถูกกฎหมาย ผลตอบแทนสูงกว่าตลาด
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการ ธนาคารออมสิน กล่าวในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ที่จัดโดยกองบรรณาธิการ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ถึงการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของรัฐบาลว่าเป็นการแก้ไขอย่างบูรณาการ คือการแก้ปัญหาให้กับลูกหนี้โดยตรงและปราบปรามเจ้าหนี้นอกระบบไปพร้อมๆ กัน
“รัฐบาลอยากจะให้ภาระของประชาชนที่มีหนี้นอกระบบเบาบางลง เดิมที่เคยจ่ายดอกเบี้ย 10%ต่อเดือน หรือหากมีหลักประกันก็จะเสียดอกเบี้ย 5%ต่อเดือน เพราะฉะนั้นถ้ากู้ 20,000 บาท ก็ต้องเสียดอกเบี้ยไปแล้ว 2,000 บาท นับเป็นภาระหนักของประชาชน ธนาคารออมสินจึงเข้ามาช่วยลูกหนี้นอกระบบโดยให้กู้รายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดดอกเบี้ยเดือนละ 0.85% ถ้าหากกู้ 20,000 บาท ก็จะเสียดอกเบี้ยเพียง 170 บาทน้อยกว่าดอกเบี้ยนอกระบบที่ต้องจ่าย 2,000 บาท เมื่อจ่ายดอกเบี้ยเพียง 170 บาท ก็จะเหลืออีกกว่า 1,800 บาท สามารถนำมาจ่ายคืนเงินต้นภายใน 1 ปีก็หมดแล้ว ก็จะทำให้ลูกหนี้สบายขึ้นกว่าเดิม และยังให้กู้สูงสุดรายละไม่เกิน 50,000 บาท…
ธนาคารออมสินยังผ่อนปรนเพิ่มให้อีก คือถ้ากู้โดยมีหลักประกันบางส่วน เช่นหลักประกันมีราคา 50% ก็จะคิดดอกเบี้ยเพียง 0.75% แต่ถ้ามีหลักประกันคุ้มก็จะคิดดอกเบี้ยเพียง 0.5% ต่อเดือน ก็จะช่วยลดดอกเบี้ยจ่ายลง นับว่าเป็นแนวทางช่วยเหลือ ซึ่งก็อยากจะให้ไปลงทะเบียนที่ธนาคารออมสินทุกสาขาโดยยื่นความจำนงไว้ก่อน โดยต้องเตรียมเอกสารและหลักฐานต่างๆมายื่นกู้ว่ามีการกู้หนี้นอกระบบอยู่”
สำหรับแนวทางการแก้ไขหนี้นอกระบบนั้น นายชาติชายกล่าวว่ารัฐบาลมีการจัดตั้งอนุกรรมการ จังหวัดละ 2 ชุดทั่วประเทศ ชุดที่ 1 เป็นอนุกรรมการไกล่เกลี่ยแก้ไขหนี้นอกระบบ ถ้าตกลงกับหนี้นอกระบบไม่ได้ ก็จะไปสู่อนุกรรมการไกล่เกลี่ยชุดที่ 2 ซึ่งถ้าไกล่เกลี่ยกันได้จะสรุปรายละเอียดส่งมายังธนาคารออมสิน หรือ ธ.ก.ส.เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนการให้สินเชื่อ
ถ้าผู้กู้มีศักยภาพในการผ่อนหนี้นอกระบบได้ก็สามารถผ่อนกับธนาคารออมสินได้ ถ้านำเอกสารที่เคยผ่อนนอกระบบมาพิสูจน์แล้วว่าสามารถผ่อนได้ ธนาคารออมสินสามารถนำพวกเขาเหล่านั้นเข้าสู่ระบบสถาบันการเงินได้ ส่วนกลุ่มที่ไม่สามารถผ่อนชำระได้ เช่น บางกลุ่มที่ไม่มีงานทำ ตกงาน หรือไม่มีศักยภาพในการผ่อน หากแบงก์ดึงเข้ามาในระบบก็จะเป็นหนี้ NPL อีก กลุ่มนี้ก็จะส่งไปที่อนุกรรมการพัฒนาศักยภาพ คือไปสร้างอาชีพ ฝึกอาชีพ เมื่อเข้าทำงานแล้วก็จะนำเข้ามาสู่หนี้ในระบบต่อไป...
“ส่วนเจ้าหนี้นอกระบบจะทำอย่างไร เพราะหลายครั้งที่แก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบได้แล้ว แต่ต่อมาก็กลับไปกู้นอกระบบอีก จึงต้องไปแก้ที่เจ้าหนี้นอกระบบด้วย ตอนนี้ไทยมีกฎหมายหลายฉบับเกี่ยวกับเรื่องการคิดดอกเบี้ยและการให้กู้ยืมตามกฎหมาย ตอนนี้มีกฎหมายลงโทษทางอาญาด้วย คือถ้าเจ้าหนี้นอกระบบปล่อยกู้เกินกว่า 15% แปลว่าผิดกฎหมาย กฎหมายก็จะลงโทษจำคุก 2 ปีหรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท โทษนี้ก็จะทำให้เจ้าหนี้นอกระบบมีความระมัดระวัง ซึ่งตอนนี้ทางการยังให้โอกาสมาจดทะเบียนเป็นพิโกไฟแนนซ์ เพียงเป็นบริษัทห้างร้านมีทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ก็สามารถให้กู้โดยคิดดอกเบี้ย 36%ต่อปี หรือเดือนละ 3%ซึ่งก็ถือว่าสูง ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำกว่า 1% แต่พิโกไฟแนนซ์สามารถปล่อยกู้ได้ 36% ถือว่าเจ้าหนี้นอกระบบสามารถเปลี่ยนรูปแบบการเป็นเจ้าหนี้และยังอยู่ได้...
มีบางคนถามว่าพิโกไฟแนนซ์แตกต่างจากนาโนไฟแนนซ์อย่างไร คือนาโนไฟแนนซ์กู้ได้เป็นแสนบาท แต่พิโคไฟแนนซ์กู้ได้เพียง 50,000 บาท ก็จะทำให้เจ้าหนี้นอกระบบสนใจเข้ามาเป็นเจ้าหนี้ในระบบ มาเป็นพิโกไฟแนนซ์ซึ่งจะสามารถช่วยประชาชนรายย่อยได้ บางครั้งมาขอกู้กับธนาคารแล้วยุ่งยากกว่า ก็อาจจะไปหาที่พิโกไฟแนนซ์ซึ่งเก็บดอกเบี้ย 36%ต่อปี แต่ถ้ามาหาธนาคารออมสินก็จะเก็บดอกเบี้ย 0.85% ถูกกว่าแต่อาจจะยุ่งยากเรื่องเอกสาร แต่คิดว่าเมื่อลูกหนี้นอกระบบเข้าสู่ในระบบครั้งแรกแล้ว ครั้งต่อไปก็จะทำเรื่องง่ายแล้ว ซึ่งจะต้องรักษาวินัยทางการเงิน ไม่ใช่กู้เงิน 50,000 บาท แล้วก็เป็นหนี้ NPL แล้ว จริงๆแล้วอยากให้กู้ไปแล้วรักษาวินัยให้ดี หลังจากนั้นก็อาจจะกู้ 500,000 บาท หรือ 5 ล้านบาทเพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตได้ แต่ถ้ากู้เงิน 50,000 บาทแล้วเป็นหนี้ NPL อนาคตจะไปกู้เงินคนอื่นก็คงไม่มีใครให้ พอลูกหนี้นอกระบบเข้ามาสู่ระบบก็จะทำให้ชีวิตดีขึ้นต่อไป แต่ก็ต้องรักษาวินัยทางการเงิน”
นอกจากนี้ นายชาติชายยังกล่าวด้วยว่าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบในครั้งนี้มีความยืดหยุ่นมากกว่าเดิม โดยผู้ที่เคยมีประวัติ NPL สามารถกู้ได้ถ้าแสดงหรือพิสูจน์ได้ว่ามีความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ที่จะกู้เพิ่ม รวมทั้งขณะนี้ทางธนาคารออมสินได้ยืดหยุ่นเรื่องการประเมินผู้กู้ หรือ Scoring ซึ่งเดิมจะไม่ให้กู้ในกรณีที่ Scoring ต่ำกว่า 10 แต่ขณะนี้ปรับเป็นไม่ให้กู้ ถ้า Scoring ต่ำกว่า 13
“ถ้ายังจำกันได้ ในช่วงปีที่ผ่านมามีการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยเพื่อสวัสดิการจากรัฐ มีคนมาลงทะเบียนกับธนาคารออมสินประมาณ 2.5 ล้านคน แต่คนที่มีคุณสมบัติครบมีอยู่ประมาณ 2.37 ล้านคน ในส่วนนี้ทางธนาคารได้โอนเงินให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในส่วนนี้มีคนให้ข้อมูลเป็นหนี้นอกระบบประมาณกว่า 530,000 คน ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มที่มีโอกาสที่จะเข้ามากู้ได้ ธนาคารออมสินมีวงเงินกู้ 5,000 ล้านบาท วงเงินกู้คนละ 25,000 บาท ก็สามารถปล่อยได้ประมาณ 200,000 ราย ซึ่งหลังจากเปิดให้คนมาลงทะเบียนได้มีคนมาลงทะเบียนกับธนาคารออมสินแล้วประมาณกว่า 5,000 ราย คิดว่าหลังจากที่มีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารมากขึ้น ลูกหนี้นอกระบบก็จะเข้ามามากขึ้น อย่างของธนาคารออมสิน 500,000 ราย เข้ามา 250,000 ราย...
ในหลักการเบื้องต้นธนาคารออมสินอยากจะเน้นปล่อยกู้ลูกหนี้ที่กู้นอกระบบ แต่รัฐบาลก็เล็งเห็นว่าอาจจะมีกลุ่มคนที่เดือดร้อนมากกว่านั้น ดังนั้น ชื่อโครงการจึงเป็นสินเชื่อรายย่อยเพื่อช่วยเหลือฉุกเฉิน นอกเหนือจากลูกหนี้นอกระบบแล้วผู้ที่ต้องการวงเงินฉุกเฉินเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน เพื่อยังชีพหรือเพื่อความอยู่รอด ถ้ามีความสามารถในการผ่อนชำระก็เปิดโอกาสให้เข้ามาก็ได้ด้วย แต่จริงๆแล้วในส่วนแรกอยากจะช่วยหนี้นอกระบบ และส่วนที่ 2 เป็นส่วนคนที่มีรายได้น้อย สามารถเข้ามากู้ได้วงเงินคนละไม่เกิน 50,000 บาท ส่วนที่เกิน 50,000 บาทก็จะมีสินเชื่อประชาชน มีวงเงินให้กู้ไม่เกิน 200,000 บาท สามารถกู้ได้โดยมีดอกเบี้ย 1% ถ้ามีหลักประกันก็จะลดดอกเบี้ยลงไม่เกิน 0.5% ก็เป็นสิ่งที่เพิ่มเติมให้กับลูกหนี้ ส่วนรัฐบาลก็จะมีมาตรการดอกเบี้ย 0.85%”
สำหรับผู้ที่สนใจใช้บริการสินเชื่อรายย่อยเพื่อช่วยเหลือฉุกเฉินนั้น นายชาติชายกล่าวว่าสามารถไปลงทะเบียนกับธนาคารออมสินได้ทุกสาขา ถ้ามีสัญญาเงินกู้จากเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบให้นำไปแสดงด้วยว่ามีหนี้อยู่เท่าไหร่ หรือถ้ามีหลักฐานทางการค้า มี statement ให้นำมาแสดง พร้อมถ่ายรูปร้านค้า เมื่อนำไปยื่นที่ธนาคารออมสิน
ถ้าเอกสารครบก็สามารถยื่นกู้และทางธนาคารจะรีบดำเนินการให้เร็วที่สุด เชื่อว่าในช่วง 3-4 เดือน เงินจำนวน 5,000 ล้านบาทน่าจะหมด เบื้องต้นเงิน 5,000 ล้านบาทนี้ หมดแล้วหมดเลย แต่เชื่อว่าถ้าทางรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีจนมาถึงรองนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เห็นว่าโครงการนี้ไปได้ดี ประชาชนที่มากู้ไม่ก่อความเสียหาย มีวินัยทางการเงินดี โครงการนี้ก็น่าจะขยายได้ แต่ถ้าเกิดว่าเข้ามาแล้วเป็นลูกหนี้เสียหมดก็คงช่วยไม่ไหว คิดว่าต้องรอจังหวะไปสักระยะว่าผลการดำเนินงานในช่วง 10,000 ล้านบาทแรกไปได้ดีไหม จากนั้นคงจะมีการพิจารณาอีกรอบ”