top of page
312345.jpg

กลยุทธ์การลงทุนเดือนมีนาคม..ทรีนีตี้แนะ ตั้งรับ 1530 - 1550 จุด


บล.ทรีนีตี้ ประเมินหุ้นไทยเดือนมีนาคมผันผวนในกรอบ 1530-1590 จุด หลังพบต่างชาติเริ่มทยอยขายพันธบัตร พร้อมขายช็อตตลาดล่วงหน้า เตือนมีแนวโน้มโบรกปรับลดประมาณการกำไร บจ. กดดันให้มูลค่าหุ้นไทยแพงขึ้น ขณะที่ Brexit อังกฤษเริ่มใกล้เข้ามา ชี้กลยุทธ์ตั้งรับ 1530-1550 จุด รอเฟดประชุม 14-15 มีนาคมนี้ช่วยฟื้นตลาด พร้อมเปิด 3 เหตุผล สหรัฐยังไม่น่าจะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ขณะที่เริ่มมีเปอร์เซ็นต์ความเชื่อมมั่นว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมใรอบนี้เพิ่มขึ้นจาก 30 เป็น 60% ด้านหุ้นไทยอยู่ในแดนเขียวหลังทรัมป์แถลงนโยบายเศรษฐกิจ

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ช่วงเดือนมีนาคมนี้ตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 1530-1590 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อที่เบาบาง โดยประเด็นสำคัญที่กดดันตลาด คือ กระแสเม็ดเงินต่างชาติ (Fund flow) ในตลาดพันธบัตรที่เริ่มติดลบ จากการที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มมีสัญญาณขายสุทธิทั้งในตราสารหนี้ระยะสั้นและยาว หลังจากที่ซื้อสุทธิมาตลอดก่อนหน้านี้ ไม่นับรวมการ Short สุทธิในตลาดล่วงหน้าอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันเริ่มเห็นสัญญาณการปรับลดประมาณการกำไรของนักวิเคราะห์ในบางอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับอุปสงค์ในประเทศ หลังแนวโน้มการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐชะลอตัว อาทิเช่น กลุ่มค้าปลีก กลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มอสังหาฯ และกลุ่มสื่อสาร ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีมูลค่าแพงขึ้นโดยอัตโนมัติ

ประกอบกับความผันผวนทางปัจจัยการเมืองในยุโรป โดยในเดือนนี้ต้องติดตามการลงมติของรัฐสภาอังกฤษต่อร่างกฎหมายการแยกตัวออกจากยุโรป (Brexit) ซึ่งหากผ่านความเห็นชอบ จะทำให้ นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ สามารถประกาศใช้มาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอนเพื่อเริ่มต้นกระบวนการ Brexit ทันที

นอกจากนั้นต้องติดตามกระแสความนิยมของนางมารีน เลอ แปน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศสฝ่ายขวาจัด ที่มีจุดยืนในการนำฝรั่งเศสแยกตัวจากสหภาพยุโรป

สำหรับปัจจัยบวกในเดือนนี้ คือ การคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะมีมติคงดอกเบี้ยที่ 0.50-0.75% ในการประชุมวันที่ 14-15 มีนาคมนี้ ด้วยเหตุผล 3 ประการ คือ ระดับเงินเฟ้อยังไม่ถึงเป้าหมาย ความไม่แน่นอนในนโยบายเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ทรัมป์ และที่สำคัญ Fed มักไม่ชอบเซอร์ไพร์สตลาดในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งหากเป็นเช่นนี้จริง คาดว่าตลาดยังคงมีแนวโน้มที่ดีอยู่

ขณะเดียวกันประเมินว่า ดัชนีภาคการผลิต (PMI) ของประเทศสำคัญต่างๆทั่วโลก จะยังทรงตัวแข็งแกร่ง ซึ่งมีโอกาสช่วยประคับประคองราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้ ดังนั้นแนะนำทยอยซื้อหุ้นเมื่อตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาในบริเวณ 1530-1550 จุด

"คาดตลาดหุ้นในช่วงครึ่งเดือนแรกจะแกว่งตัวผันผวนตามความกังวลของนักลงทุนต่อประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในช่วงกลางเดือน หาก Fed มีมติไม่ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 14-15 มีนาคมตามคาด ประเมินว่าจะเป็น Sentiment เชิงบวกที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นเกิดใหม่อีกครั้ง ด้วยเหตุนี้หากในช่วงครึ่งเดือนแรก SET Index ปรับตัวลงมาทดสอบแนวรับที่ 1530-1550 จุด ให้ใช้จังหวะดังกล่าวในการทยอยซื้อหุ้นได้" นายณัฐชาตกล่าว

สำหรับหุ้นที่น่าสนใจในเดือนมีนาคมประกอบด้วย บริษัท กรุ๊ปลีส (GL) ซึ่งเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีโอกาสถูกนำเข้าดัชนี MSCI Standard Index ในการคำนวณรอบเดือนพฤษภาคมนี้ ขณะที่การเติบโตปีนี้ยังสดใส โดยนอกจากจะสามารถรับรู้กำไรของธุรกิจที่ศรีลังกาเข้ามาเต็มปีแล้ว ธุรกิจในทุกประเทศยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีอยู่ ทั้งกัมพูชา พม่า และอินโดนีเซีย แนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 72 บาท , บริษัทศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) ซึ่งมีความเสี่ยงขาลงจำกัดหลังจากราคาปรับตัวลงมา 30% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา โดยราคาที่อ่อนตัวลงมาน่าจะรับรู้ผลประกอบการไตรมาส 4/59 ที่อ่อนแอ รวมถึงราคายางที่อ่อนตัวชั่วคราวไปพอสมควรแล้ว ประเมินแนวโน้มราคายางจะกลับมาสูงขึ้นในเดือนมีนาคม - พฤษภาคม เพราะเป็นช่วงปิดหน้ายาง ซึ่งจะมียางสดเข้ามาในตลาดน้อยลง ประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และการส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดเล็กในจีน จะส่งผลให้มีความต้องการใช้ยางในอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น แนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 33.30 บาท, โคแมนชี่ อินเตอร์เนชั่นแนล (COMAN) เป็นหนึ่งในหุ้นที่ได้อานิสงส์จากยุค Thailand 4.0 จุดเด่นได้แก่ลักษณะของธุรกิจที่ไม่มีต้นทุนการผลิตส่วนเพิ่ม ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิของบริษัทมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นและเติบโตอย่างก้าวกระโดดตามยอดขาย นอกจากนั้นบริษัทย่อย MSL ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาระบบ Big data analytic ซึ่งสอดคล้องกับยุคสมัยที่ต้องพึ่งพาการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่มากขึ้น แนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 12.44 บาท มองการปรับตัวลงมาของราคาหุ้นเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าสะสม

อย่างไรก็ตาม ในอีกกระแสหนึ่ง มีความโน้มเอียงเชื่อไปในทำนองว่า เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมรอบเดือนมีนาคมนี้ มร.เมสเซนเจอร์ร ให้ข้อมูลว่า มีรายงานว่า Fed Fund Future มองว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยเป็น 61% จากที่ก่อนหน้านี้อยู่แค่ระดับ 33%

ขณะที่ โลกจะจับตาดูการแถลงแผนนโยบายของทรัมป์ ที่จะมีต่อสภาคองเกรส วันที่ 1 มีนาคม 2560 ที่จะมีผลต่อทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดด้วย ปรากฏว่าการแถลงของทรัมป์วันนั้นไม่ได้กดดันหุน โดยหลังแถลงจบ ตลาดหุ้นก็เริ่มมีแรงซื้อเข้ามาจนอยู่ในแดนบวก ปิดที่ 1,566 จุด แต่ด้วยวอลุ่มการซื้อขายแค่ 35,000 ล้านบาท ความเปราะบางและความไม่แน่นอนในตลาดหุ้นยังมีอยู่ จนกว่าจะข่ามผ่าน 1,570 ไปได้

บล.เคทีบีเอสที ให้ความเห็นว่าหลังจากการแถลงของทรัมป์ ตลาดจะกลับมากังวลกับเฟดต่อ ทั้งนี้ความน่าจะเป็นของการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed เดือน มี.ค. ปรับขึ้นจากเป็น 60% บ่งชี้ว่า เวลานี้ตลาดให้น้ำหนักว่า Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ และเช่นเดียวกับวันก่อน ที่เราให้ความเห็นว่า โอกาสที่ Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ย ยิ่งมากเท่าใด จะทำให้ความกังวลต่อการขายหุ้นหรือการเคลื่อนย้ายเงินทุน(ระยะสั้น) ของนักลงทุนต่างประเทศมีมากขึ้นการซื้อขายของนักลงทุนในตลาดหุ้นเอเซียวันที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะเป็น net sell

1 view
bottom of page