
กลุ่มการเงินเกียรตินาคินภัทร มองปีนี้เศรษฐกิจยังโตช้าๆ ที่ 3.2% ขณะที่ต้องระมัดระวังตลาดเงิน-ตลาดทุนผันผวนสูง การเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีการเงิน ตั้งเป้าสินเชื่อโต 5% จากช่องทางและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ทั้งให้หนี้เสียไม่เกิน 5.2%
นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) เปิดเผยว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปี 2560 คาดว่าจะฟื้นตัวอย่างช้าๆ โดยจากการวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร บริษัทในกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ในระดับ 3.2% ซึ่งคาดว่ารัฐบาลจะใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นในครึ่งแรกของปี และหวังว่าการลงทุนภาครัฐจะเร่งตัวขึ้นช่วยพยุงเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังได้ นอกจากนี้ ยังประเมินว่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ แต่แข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งการเพิ่มศักยภาพของเศรษฐกิจไทยในระยะยาวนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 3 ประการ ได้แก่ แรงงาน การลงทุน และผลิตภาพการผลิต
ขณะที่สิ่งที่ต้องระมัดระวังในปี 2560 คือ ความผันผวนสูงในธุรกิจตลาดเงินและตลาดทุนของไทย และของโลก ตลอดจนเทคโนโลยีทางการเงินที่เข้ามามีบทบาทต่อการดำเนินธุรกิจเป็นอย่างมาก โดย KKP ยังคงให้ความสำคัญกับบริหารความเสี่ยง ดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง ตั้งเป้าเป็นสถาบันการเงินเพื่อการจัดการเงินและการลงทุน รักษาผลการดำเนินงานที่ดีให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม และองค์ความรู้ต่างๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจในอนาคต ด้วยยุทธศาสตร์การแข่งขันใน 3 ด้าน คือ เริ่มต้นจากการเป็น Credit House ที่มีประสิทธิภาพควบคุมคุณภาพสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง และจากการประเมินอัตราปล่อยสินเชื่อในไตรมาส 4 ปี 2559 ที่ผ่านมา คาดว่าปี 2560 จะสามารถขยายสินเชื่อได้อีกราว 5% จากปีที่ผ่านมาสินเชื่อเติบโตติดลบ 0.8% โดยสิ้นปี 2559 มียอดรวมของสินเชื่อรายย่อยที่ 124,000 ล้านบาท จะเพิ่มเป็นประมาณ 1.3 แสนล้านบาท และตั้งเป้าให้มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ไม่เกิน 5.2% จากสิ้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 5.6% ของสินเชื่อรวม และรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อสุทธิ (NIM) ที่ระดับ 4.7-4.9%
ทั้งนี้ การขยายสินเชื่อจะอาศัยเครือข่ายสาขาและสายงานช่องทางการตลาด และพัฒนาฐานลูกค้าที่จัดตั้งใหม่ (Alternative Distribution Channels : ADC) ซึ่งเป็นช่องทางอำนวยสินเชื่อที่มีประสิทธิภาพสำหรับผลิตภัณฑ์สินเชื่อบุคคล สินเชื่อเคหะ สินเชื่อ KK SME รถคูณ 3 ตลอดจนพัฒนาการทำ Cross Selling ของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้เข้มข้นขึ้น โดยจะมีการเพิ่มทีมงานจากปัจจุบัน 600 คน เป็น 1,000 คน ขณะที่ในส่วนของสินเชื่อธุรกิจ จะเน้นการให้สินเชื่อเครื่องจักรและวัสดุก่อสร้าง รวมถึงสินเชื่อโรงแรม สอดคล้องกับแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในด้านการก่อสร้างและการท่องเที่ยว
ส่วนถัดมาเป็นการต่อยอดธุรกิจ Private Bank ที่ KKP มีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์มายาวนาน โดยในปีนี้จะมีการต่อยอดการเติบโต เพิ่มผลิตภัณฑ์และการบริการใหม่ๆ เพื่อเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมและสินทรัพย์ภายใต้การแนะนำ โดยในปี 2559 มีสินทรัพย์ภายใต้การให้คำแนะนำ (Asset under Advice: AuA) อยู่ที่ 380,000 ล้านบาท (ไม่รวมเงินฝากและมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการของ บลจ.ภัทร) และที่สำคัญกองทุนจาก บลจ.ภัทร สามารถสร้างผลการดำเนินงานได้เป็นอย่างดี เช่น กองทุนเปิดภัทร หุ้นระยะยาวปันผล (PHATRA LTFD) โดยเชื่อว่าธุรกิจดังกล่าวจะเป็นกลไกสำคัญในการขยายธุรกิจตลาดทุนและสร้างเสถียรภาพของรายได้ให้กับ KKP ในอนาคตได้เป็นอย่างดี
สำหรับประการสุดท้าย คือ รักษาความเป็นผู้นำในด้าน Investment Banking และเพิ่มความร่วมมือระหว่างธุรกิจธนาคารพาณิชย์และธุรกิจตลาดทุนเพื่อขยายการทำธุรกิจและให้บริการแก่ลูกค้าสถาบันและลูกค้าบรรษัท ซึ่งจะเน้นเรื่องการบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ตลอดจนรักษาระดับคุณภาพให้อยู่ในกลุ่มผู้นำตลาดด้านงานวิจัย