Feb 7, 20221 min

เดือนแห่งความรักหุ้นผันผวน แนะลงทุนตามกรอบ...แบ่งซื้อทองสู้เงินเฟ้อ

ทรีนีตี้ เปิดกลยุทธ์การลงทุนเดือนแห่งความรักที่ดัชนีหุ้นจะมีความผันผวน ตลาดจะผันแปรไปตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาทั้งการจ้างงานและอัตราเงินเฟ้อ บริหารพอร์ตด้วยกลยุทธ์ขึ้นขาย-ลงซื้อตามกรอบในหุ้นปันผล แบ่งเงินกระจายพอร์ตไปออมทองอย่างน้อย 5% สู้เงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้นเพื่อรักษาผลตอบแทน

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ ให้ความเห็นกรณีทิศทางการลงทุนเดือนกุมภาพันธ์2565 ว่า ปัจจัยหลักที่จะมีผลต่อการลงทุน คือรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐ ซึ่งถ้าหากออกมาแตกต่างจากเดือนก่อนหรือคาดการณ์ของตลาดมาก จะส่งผลกระทบต่อความคิดของของนักลงทุนในตลาดต่อแนวนโยบายการเงินของ Fed ในช่วงถัดไปได้

ทั้งนี้ จากการที่ในช่วงที่ผ่านมา นักลงทุนมีการเร่ง Price in ประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed จึงทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นของสหรัฐเร่งตัวขึ้น และส่งผลให้ความชัน Yield curve ของสหรัฐแบนราบลงอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับฝั่งของไทยที่แนวโน้มการเข้มงวดนโยบายการเงินยังคงห่างไกล จึงทำให้ความชัน Yield curve ของไทยเราทรงตัวได้อยู่ในระดับสูง

ภาพของ Bond yield ที่มีลักษณะเช่นนี้ ย่อมทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะสั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นที่มีลักษณะเป็น Value stock เช่นกลุ่มธนาคารและอสังหาฯ

“ตอนนี้เราจะเห็นความต่างของการดำเนินนโยบายทางการเงินของประเทศพัฒนาแล้วเช่นสหรัฐ ที่กำลังขึ้นดอกเบี้ย มองไปข้างหน้าคือการเติบโตของเศรษฐกิจจะชะลอตัวลง ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาหรือกลุ่มประเทศเกิดใหม่ดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ในโหมดผ่อนคลาย เช่นจีนลดดอกเบี้ย ส่วนประเทศไทยเอง ก็เชื่อว่าปีนี้ทั้งปีจะไม่มีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพราะเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว”

ในส่วนของคาดการณ์ดัชนีปีนี้ได้ปรับลดลงมาเล็กน้อยจากเดิมที่มองว่าจุดสูงสุดของดัชนีจะอยู่ที่ 1,800 จุดก็ลงมาเหลือ 1,770 จุด (อิงประมาณการ EPS ปี 2566) เพราะนับจากต้นปีประเด็นการเข้มงวดนโยบายการเงินของ Fed ที่เร็วเกินคาดได้ผลักดันให้ Bond yield ของสหรัฐพุ่งสูงขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ จนส่งผลกระทบต่อ Valuation ของ SET Index ผ่านมาตรวัด Earning yield gap

ในทางกลับกัน หากใช้มาตรวัดดังกล่าวกับประมาณการ EPS ปี 2565 จะได้ระดับแนวรับสำคัญ ของ SET ที่ระดับ 1,560 จุด นั่นหมายความว่าที่ระดับดัชนีปัจจุบันแถว 1,660 จุด ถือเป็นระดับที่ค่อนข้างสมดุลในเชิง Valuation

ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ จึงแนะนำเพียง Selective การถือครองไปยังกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะปรับตัว Outperform ตลาดเท่านั้น ซึ่งกลุ่มแรกที่แนะนำต่อเนื่องได้แก่ธีมหุ้นปันผลสูง ที่ล่าสุดให้ผลตอบแทนชนะตลาดอย่างชัดเจน ดังนั้นจึงเลือกตัวที่ Laggard มาในเดือนนี้อย่างเช่น ADVANC, INTUCH, MAJOR, TOG ส่วนอีกกลุ่มที่น่าสนใจได้แก่ หุ้นเติบโตที่ราคาหุ้นปรับฐานลงมาแรง แต่ประมาณการ EPS ไม่ได้ถูกปรับลดแต่อย่างใด ส่งผลให้ Valuation ปรับเข้าสู่ระดับที่น่าสนใจมากขึ้น อาทิ HANA, KCE, JMT

“ปัจจัยเสี่ยงที่อาจต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดในช่วงถัดไปได้แก่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่เริ่มไม่เป็นไปตามคาดหวังและเผชิญอุปสรรคมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่อิงกับการบริโภคภายในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น ส่งผลให้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยนอกบ้านน้อยลง สะท้อนผ่านดัชนี Mobility ที่ปรับตัวลดลงในหลายจังหวัด หากราคาสินค้าในประเทศยังคงอยู่ในระดับสูงเช่นนี้ อาจทำให้กลุ่มหุ้นที่อิงกับภาคการบริโภคภายในประเทศมี Downside Risk ที่มากขึ้นได้”

นอกจากนี้ ทรีนีตี้ ยังแนะนำให้ลงทุนทองคำ 5% สู้เงินเฟ้อและกระจายความเสี่ยงด้วย

ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ แนะนำลงทุนควรมีทองคำอยู่ในพอร์ตการลงทุนด้วย จะทำให้มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่ดี และช่วยกระจายความเสี่ยงได้ เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีทิศทางการเคลื่อนไหวไปคนละทางกับสินทรัพย์หลักๆ เช่น หุ้น ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ และ Crypto Currency หรือสินทรัพย์อื่นๆ นอกจากนี้ ราคาทองคำในระยะยาวยังสามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ รวมถึงในยามที่เกิดวิกฤตทองคำก็ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่วางใจได้มากกว่าสินทรัพย์อื่นๆ อีกด้วย

ในสถานการณ์ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดโควิด-19 การเร่งตัวของเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นทั่วโลก การกระจายสินทรัพย์เพื่อลงทุนจึงเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารสินทรัพย์ เพื่อคงการรักษาผลตอบแทน จะเป็นหัวใจที่สำคัญที่สุดสำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปีนี้

9