Oct 6, 20211 min

วัคซีนในไทยคืบ+เศรษฐกิจโลกฟื้น....ส.นักวิเคราะห์คาดดัชนีสิ้นปี 1,648

ปัจจัยบวกหุ้นไตรมาส 4 นักวิเคราะห์มั่นใจ ข่าวดีคือกำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มเป็น 82.08 บาทต่อหุ้น ส่วนปีหน้าเพิ่มเป็น 92.49 บาทต่อหุ้น

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน รวม 27 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 นักวิเคราะห์ลดสมมติฐานหลักด้านการขยายตัวของ GDP ไทยปี 2564 เฉลี่ยเหลือ 0.68% เทียบกับการสำรวจเมื่อกลางปีที่ 2.11% อย่างไรก็ตามคาดการณ์ว่าปี 2565 จะเติบโตที่ 3.67%

ทิศทางการลงทุนในไตรมาส 4/2564 จะได้ผลบวกที่ชัดเจนมาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ แนวโน้มความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนในไทย มีผู้โหวตท่วมท้น 96% ตามมาด้วย การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก มีผู้โหวตสูงถึง 70%


 
ส่วนปัจจัยด้านลบ คือ ท่าทีการเตรียมลดมาตรการ QE ทั่วโลก และตามติดมาด้วยปัจจัยการเมืองในประเทศด้วยเสียงโหวต 85% แถมด้วย แนวโน้มการจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯเร็วขึ้นกว่าคาดเดิม

ทังนี้ยังคาดว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย น่าจะไม่เปลี่ยนแปลงตลอดปีนี้ และปีหน้า

ส่วนทางด้านผลกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนปี 2564 เฉลี่ยที่ 82.08 บาทต่อหุ้น เป็นการเติบโต 69.50% จากปีก่อน และตัวเลขคาดการณ์ใหม่นี้ สูงขึ้นกว่าการสำรวจครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่ 80.87 บาทต่อหุ้น ขณะที่ข่าวดีอยู่ที่ปี 2565 ที่นักวิเคราะห์คาดว่ากำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนจะเพิ่มเป็น 92.49 บาทต่อหุ้น เติบโต 12.73%

ทางด้านคาดการณ์ SET Index ในช่วงไตรมาส 4 ของปี จะแกว่งตัวในกรอบ 1,565 ถึง 1675 จุด และคาดว่าจะปิดสิ้นปีที่ 1,648 จุด และคาดการณ์ว่าสิ้นปี 2565 จะปิดที่ 1754 จุด

นายสมบัติย้ำว่า นักวิเคราะห์ได้แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 12.20% กองทุนตราสารหนี้ 16.80% หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 28.80% หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 25.88% กองทุนอสังหาฯ หรือ REIT 8.04% ทองคำหรือกองทุนทองคำ 5.96% อื่นๆ 2.32%

“สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยในไตรมาสที่ 4 นั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหมวดธุรกิจ พาณิชย์ ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ โรงแรมและท่องเที่ยว ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจพลังงาน โรงพยาบาล และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ รายชื่อหุ้นเด่นที่แนะนำ คือ AOT, BEM, CPALL, KBANK

ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจไปยังรัฐบาล ได้แก่ การเร่งฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อการเปิดเมือง การช่วยเหลือภาคธุรกิจการท่องเที่ยว และ สนับสนุนการผู้ประกอบการรายย่อย SMEs การให้สินเชื่อพิเศษ นอกจากนั้น ควรมีนโยบายให้การช่วยเหลือประชาชน พร้อมเป็นการกระตุ้นการจับจ่าย โดยให้สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ รวมทั้งการให้สิทธิภาษีสนับสนุนการลงทุนใน LTF”

10