May 7, 20212 min

จุดหมุนระยะสั้นยังอยู่ที่ 1,550 จุด...ตลาดหุ้นโลกบนความหวังเปิดประเทศ

ทิศทางของตลาดหุ้นโลกยังคงอยู่แนวโน้มขาขึ้นต่อเนื่องได้นะครับ สะท้อนออกมาจากการที่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนี MSCI ACWI ของตลาดหุ้นทั่วโลก ปรับตัวขึ้น 1.40% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยตลาดหุ้นที่ Outperform ได้แก่ตลาดหุ้นสหรัฐ ไทย จีน และ Asia Ex-Japan ที่เปลี่ยนแปลง +1.85%, +1.42%, +1.47% และ +1.89% ตามลำดับเมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยที่ตลาดหุ้นโลกยังมีปัจจัยหนุนต่อเนื่อง ประธานาธิบดี Joe Biden ได้แถลงถึงแผน “American Families Plan” ซึ่งเป็นมาตรการให้ความช่วยเหลือด้านเครดิตภาษีวงเงิน 1.8 ล้านล้านดอลลาร์และมาตรการเร่งด่วนอื่นๆ สำหรับประชาชนในสหรัฐทั้งการดูแลเด็ก, การให้สิทธิ์ลางานเพื่อดูแลครอบครัวโดยยังได้รับค่าตอบแทน และการยกเว้นค่าเล่าเรียนสำหรับวิทยาลัยในชุมชน ซึ่งทั้งหมดนี้จะได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากการขึ้นภาษีคนรวยในสหรัฐครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี

รวมทั้งการที่ Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดยืนยันว่า เฟดจะยังคงใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไป และจะยังไม่ปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) แม้เศรษฐกิจสหรัฐมีการฟื้นตัวแข็งแกร่งมากขึ้นก็ตาม ซึ่งเฟดยังคงเน้นย้ำแนวทางที่ใช้มาตั้งแต่เดือน ธ.ค. 63 โดยระบุว่าเฟดต้องการเห็นอัตราเงินเฟ้อและการจ้างงานปรับตัวขึ้นสู่เป้าหมายก่อนที่จะตัดสินใจปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตร

นอกจากนี้ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงออกมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยสหรัฐเผยตัวเลข GDP ไตรมาส 1 ปี 2564 เพิ่ม 6.4% ใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ในช่วง 6.1-6.5% ขณะที่ตัวเลข Initial Jobless Claim ลดลง 13,000 ราย สู่ระดับ 553,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐเมื่อเดือน มี.ค. 63 สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 88.3 ในเดือน เม.ย. 64 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐในเดือน มี.ค. 63 จากระดับ 84.9 ในเดือน มี.ค. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 87.0

ทั้งนี้จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาค่อนข้างดี จะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ หลังจากที่ความกังวลเกี่ยวกับการแพร่กระจายโรคโควิด-19 ในประเทศสำคัญๆ ของโลก โดยเฉพาะสหรัฐได้ลดระดับลงไปมากแล้ว โดยที่ล่าสุดสถานการณ์โควิด-19 ในสหรัฐ ประชาชนบางส่วนไม่ต้องใส่หน้ากากอนามัยแล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนของสหรัฐ ซึ่งจะนำไปสู่การฟื้นตัวเศรษฐกิจของสหรัฐในระยะถัดไป ล่าสุดนิวยอร์กจะเปิดเมือง 100% วันที่ 1 ก.ค. 64 ถือเป็นการเปิดเมืองครั้งแรกในรอบกว่า 1 ปี หลังจาก ผอ. สถานบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อของสหรัฐ กล่าวว่าสถานการณ์ปัจจุบันของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กำลังดีขึ้นเรื่อยๆ

ขณะที่การคาดการณ์ของ Bloomberg พบว่าถ้าสหรัฐฉีดวัคซีนด้วยอัตราเร่งในระดับปัจจุบัน สหรัฐจะใช้เวลาทั้งสิ้นไม่เกิน 3 เดือน เพื่อฉีดให้ได้ 75% ของประชากร

นอกจากนี้ล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาและศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐได้ตัดสินใจยกเลิกคำแนะนำให้ระงับใช้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของบริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ไปแล้ว เนื่องจากมีข้อมูลบ่งชี้ว่าวัคซีนดังกล่าวมีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงในการใช้กับประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และองค์การอนามัยโลก หรือ WHO เปิดเผยว่า WHO ได้เพิ่มวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของบริษัท Moderna เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉินแล้ว โดยนับเป็นวัคซีนตัวที่ 5 ที่ WHO อนุมัติให้ใช้ได้ในกรณีฉุกเฉิน

เศรษฐกิจจากโควิดรอบ 3 กดดันหุ้นไทย ! ขณะที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังคงอยู่ในระดับสูง สะท้อนออกมาจากผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนสหรัฐจาก AAII ที่ระบุว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ายังคงเป็นขาขึ้นหรือ Bullish อยู่ที่ 42.60% เทียบกับสัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ากำลังกลับเป็นขาลง หรือ Bearish ที่ 25.70%

นอกจากนี้ตลาดหุ้นโลก และไทยมีแนวโน้มที่จะได้ประโยชน์จากแนวโน้มของราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานด้วย ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบโลก ที่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมัน WTI ปรับตัวขึ้น 2.52% หลังจากที่ Goldman Sachs ออกมาคาดการณ์ราคาน้ำมัน WTI ว่าจะดีดตัวขึ้นแตะระดับ 77 ดอลลาร์/บาร์เรล ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ขณะที่ EIA รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงเหลือของสหรัฐ ประจำสัปดาห์ ปรับเพิ่มขึ้น เพียง 90,000 บาร์เรล น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 659,000 บาร์เรล

ในส่วนของตลาดหุ้นไทย แม้ว่าจะมีการดีดตัวกลับขึ้นมาได้ หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เริ่มส่งสัญญาณดีขึ้น หลังจากทำจุดสูงสุดที่ 2,800 รายในสัปดาห์ก่อนหน้า ทำให้นักลงทุนมีความคาดหวังว่าสถานการณ์โควิดในประเทศจะผ่านจุดที่แย่ที่สุดไป อย่างไรตามตลาดหุ้นไทยยังคงมีโอกาสปรับตัวขึ้นจำกัด โดยมีโอกาสจะกลับมาให้น้ำหนักกับปัจจัยลบจากประเด็นทางเศรษฐกิจอีกครั้ง หลัง ศบค.ปรับใช้พื้นที่สีแดงเข้มควบคุมสูงสุด-เข้มงวด 6 จังหวัด ได้แก่กทม.-ชลบุรี-เชียงใหม่-นนทบุรี-ปทุมธานี-สมุทรปราการ เป็นเวลา 14 วัน ศบค. และมีกำหนดจะทบทวนอีกครั้งเมื่อครบ 14 วัน

ขณะที่กระทรวงการคลัง ปรับลดประมาณการการขยายตัวของ GDP ไทยปี 2565 เป็นโต 2.3% จากเดิมคาดโต 2.8% จากผลกระทบของการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ทั้งในประเทศไทยและหลายประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การเดินทางระหว่างประเทศ รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้ปรับลดคาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้ลงเหลือ 2 ล้านคน จากคาดการณ์เดิมที่ 5 ล้านคน สอดคล้องกับสำนักวิจัย KKP ที่ปรับลดประมาณการการขยายตัวของ GDP ไทยลงอีกครั้งมาที่ 2.2% จากเดิมคาดไว้ที่ 2.7% เป็นผลจากการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ในเดือน เม.ย. 64 ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการบริโภคภาคเอกชนในช่วงไตรมาส 2 โดยเฉพาะจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของภาครัฐ และความวิตกกังวลของผู้บริโภค

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) ตราบใดที่ SET ยังคงไม่ลงไปปิดต่ำกว่า 1,550 จุดอีกครั้ง เน้น “เก็งกำไรระยะสั้น” โดยมี 1,550 จุดเป็นจุดหมุน และจุด Cut Loss ในหุ้น CPALL, BJC, BEM, CRC, AOT, GPSC, PTTGC, WHA และ BDMS อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมาอยู่ที่ระดับ 25% ของพอร์ต”

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ

ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: Wealth Hunters Club

11