May 25, 20232 min

เพดานหนี้สหรัฐชี้ชะตาตลาดหุ้น !

ประเด็นการขยายเพดานหนี้ของสหรัฐยังคงกดดันทิศทางของตลาดหุ้นโลกและสหรัฐอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสหรัฐใกล้จะถึงเส้นตายในการผิดนัดชำระหนี้ครั้งประวัติศาสตร์ หลังจากที่การประชุมครั้งล่าสุดระหว่างประธานาธิบดี โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ และ เควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ เนื่องจากพรรครีพับลิกันยังคงไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอการปรับเปลี่ยนมาตรการภาษี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงการปรับเพิ่มเพดานหนี้ โดยที่พรรครีพับลิกันต้องการให้ทำเนียบขาวปรับลดการใช้จ่ายเป็นเวลาหลายปี ในขณะที่พรรคเดโมแครตเสนอให้ปรับลดการใช้จ่ายแค่ระยะเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้น นอกจากนี้ พรรคเดโมแครตยังต้องการให้รวมเพดานการใช้จ่ายด้านกลาโหมเอาไว้ในข้อตกลงนี้ด้วย ซึ่งความขัดแย้งในเรื่องดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับสมาชิกพรรครีพับลิกันสายเหยี่ยวที่ต้องการให้เพิ่มงบประมาณของกระทรวงกลาโหมด้วยการตัดงบประมาณการใช้จ่ายทางสังคมลงเป็นจำนวนมาก

ขณะที่ เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐเตือนว่า สหรัฐมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้อย่างเร็วที่สุดในวันที่ 1 มิ.ย. 66 นี้ หรือ "X-date" ซึ่งเป็นวันที่รัฐบาลกลางสหรัฐไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามพันธกรณีทางกฎหมาย หากสภาคองเกรสไม่อนุมัติการขยายเพดานหนี้ ทำให้ตลาดหุ้นโลกและสหรัฐมีแนวโน้มที่จะผันผวนต่อเนื่อง แม้ว่าจริงๆ แล้วนักลงทุนส่วนหนึ่งยังคงมีความมั่นใจว่าท้ายที่สุดแล้วทำเนียบขาวและสภาคองเกรสจะสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ก็ตาม เนื่องจากในอดีตที่ผ่านมานั้นสหรัฐได้รับบทเรียนว่าการประวิงเวลาจนถึงนาทีสุดท้ายก่อนที่จะปรับเพิ่มเพดานหนี้ ได้บั่นทอนความเชื่อมั่นต่อภาคธุรกิจและกลุ่มผู้บริโภคอย่างรุนแรง นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบต่ออันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐด้วย

ผลสำรวจผู้จัดการกองทุนทั่วโลกซึ่งจัดทำโดย BofA Global Research ระบุว่า 71% ของผู้จัดการกองทุนที่เข้าร่วมการสำรวจเชื่อว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถทำข้อตกลงกันได้ก่อนถึง X-date อย่างไรก็ดี มีนักลงทุนอีกจำนวนหนึ่งกังวลว่า สภาพตลาดในปัจจุบันและการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะส่งผลให้ตลาดหุ้นมีความผันผวนมากกว่าในปี 2554 ซึ่งเป็นปีที่ภาวะชะงักงันด้านการเจรจาเพดานหนี้ได้ส่งผลให้สหรัฐถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือครั้งประวัติศาสตร์ โดยนักวิเคราะห์จาก UBS Global Wealth Management คาดการณ์ว่า ดัชนี S&P500 จะร่วงลงกว่า 10% หากทำเนียบขาวและสภาคองเกรสไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการเพิ่มเพดานหนี้ได้ก่อน X-date เนื่องจากเพดานหนี้คือจำนวนเงินทั้งหมดที่รัฐบาลสหรัฐได้รับอนุญาตให้ทำการกู้ยืมเพื่อให้รัฐบาลสามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสวัสดิการด้านประกันสังคมและด้านสุขภาพ, ดอกเบี้ยตราสารหนี้ของรัฐบาล และการใช้จ่ายอื่นๆ

ล่าสุด เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ได้ส่งจดหมายเตือนถึงสภาคองเกรสเป็นฉบับที่ 3 แล้วว่า "มีความเป็นไปได้สูง" ที่กระทรวงการคลังจะไม่สามารถชำระหนี้ของรัฐบาลได้ หากไม่มีการขยายเพดานหนี้สหรัฐมูลค่า 31.4 ล้านล้านดอลลาร์ก่อนวันที่ 1 มิ.ย. 66 นี้ ซึ่งจะผิดนัดชำระหนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ขณะที่ความกังวลเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว สะท้อนออกมาที่ผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนสหรัฐจาก AAII ที่ระบุว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้าเป็นขาขึ้น หรือ Bullish เปลี่ยนแปลง -6.5% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ที่ 22.9% ต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ ขณะที่สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้าเป็นขาลง หรือ Bearish ที่เปลี่ยนแปลง -1.5% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 39.7%

รัฐบาลใหม่ยิ่งมาช้ายิ่งกดดันตลาดหุ้นไทย ! ความกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ลดลงไปมากแล้ว หลัง เจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า โดยที่ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่านักลงทุนให้น้ำหนักเพียง 27.9% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 13-14 มิ.ย. 66 หลังจากที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วให้น้ำหนัก 43.7% และให้น้ำหนัก 72.1% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 13-14 มิ.ย. 66 โดยนักลงทุนในตลาดยังคงไม่ได้ให้น้ำหนักกับการที่ เจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ ออกมาระบุว่า เฟดยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.50% ในปีนี้

ขณะที่ผลสำรวจความเห็นซึ่งจัดทำโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจแห่งชาติของสหรัฐ (NABE) พบว่านักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าเฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงไตรมาส 1 ปี 2567 นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อและความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานสหรัฐ ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐยังคงแข็งแกร่งสะท้อนออกมาจากการที่ล่าสุดดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 54.5 ในเดือน พ.ค. 66 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 เดือน จากระดับ 53.4 ในเดือน เม.ย. 66 และยอดขายบ้านใหม่เพิ่มขึ้น 4.1% สู่ระดับ 683,000 ยูนิตในเดือน เม.ย. 66 เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 65 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 665,000 ยูนิต จากระดับ 656,000 ยูนิตในเดือน มี.ค. 66 ในแง่ของเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของสหรัฐนั้น เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐยังคงยืนยันถึงความแข็งแกร่งและความมั่นคงของระบบธนาคารของสหรัฐในระหว่างการประชุมร่วมกับบรรดาประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของธนาคารต่างๆ ซึ่งจัดโดยสถาบันนโยบายธนาคาร (BPI)

อย่างไรก็ตามประเด็นที่น่าสนใจที่ต้องจับตามองว่าจะเป็นความเสี่ยงในระยะต่อไปคือสถานการณ์ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ หลังจากที่ เจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของธนาคารเจพีมอร์แกน ระบุว่าขณะนี้มีความกังวลระลอกใหม่กำลังก่อตัวขึ้น นั่นคือตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Commercial Real Estate) ซึ่งคาดว่าจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่นำปัญหามาสู่ภาคธนาคาร หลังจากที่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐเผชิญกับอัตราการผิดนัดชำระหนี้ที่ต่ำมาก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำและภาคธนาคารได้รับปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นทางการเงินในช่วงที่โรคโควิด-19 แพร่ระบาด แต่เมื่อเฟดเริ่มวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ สถานการณ์ก็ได้เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะธนาคารขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากภาวะปั่นป่วนที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ จำเป็นต้องวางแผนรับมือกับอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ในส่วนของตลาดหุ้นไทยยังคงมีแนวโน้มที่จะถูกกดดันต่อเนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอน โดยเฉพาะความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) กรณี SET ยังคงแกว่งต่ำกว่า 1,580 จุด เน้น “Wait and See” ไปก่อน สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่ระดับ 50% ของพอร์ต”

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ

3