Sep 1, 20192 min

สิงหาคม '62 เดือนปราบเซียน...เสียหายกันถ้วนหน้าจากความผันผวนในทุกตลาด

Interview: คุณธนากร มนูญผล ผู้บริหารที่ปรึกษาการลงทุนและผลิตภัณฑ์ธนบดีธนกิจ

ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย

สิงหาคม 2562 เดือนปราบเซียนเสียหายหนักกันถ้วนหน้าจากความผันผวนในทุกตลาดทั้งหุ้น เงิน ทอง ตราสารหนี้ น้ำมัน เมื่อเงินไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงมากไปหาสินทรัพย์เสี่ยงน้อย นักวิเคราะห์มือพระกาฬแนะลดพอร์ตหุ้น/การลงทุนในหุ้นไทย-เทศ เพื่อรับมือกับความเสี่ยงจากสงครามการค้าเมื่อจีนมีท่าทีแข็งกร้าวดุดันตอบโต้มะกันมากขึ้น นอกเหนือจากมองว่า ศก.โลก/ไทยไม่เติบโตมากไปกว่านี้แล้ว ฟันธง! ปี 2562 เป็นโอกาสของทองคำกับกองทุนอสังหาริมทรัพย์และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานให้ผลตอบแทน/ปันผลงาม เตือนระวังเกิดวิกฤตศก.ถดถอยมีมากถึง 30% หลีกเลี่ยงลงทุนในธุรกิจน้ำมัน/พลังงาน ใกล้ปรับฐานแรงใน Q4

คุณธนากร เป็นที่ปรึกษาการลงทุนอยู่ ไม่ทราบว่าภายใต้สถานการณ์แบบปัจจุบันนี้ จะแนะนำเรื่องการลงทุนอย่างไร

ต้องบอกว่านับตั้งแต่เข้าสู่เดือนสิงหาคมเป็นเดือนหนึ่งที่นักลงทุนคงต้องเหนื่อยหน่อย เพราะเกิดอะไรขึ้นหลายอย่าง อย่างแรกเลยคือกรณีทรัมป์ทำสงครามการค้าซึ่งมีหลายคนถามว่าจะเดาใจ โดนัลด์ ทรัมป์ อย่างไร เราเดากันไม่ค่อยถูกเท่าไหร่หรอก ฉะนั้นอย่าเดาเลยดีกว่า เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือมีความผันผวนในตลาด

ย้อนไปเมื่อ 2 เดือนก่อนเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ทรัมป์ออกมากดดันเรื่องสงครามการค้า ทำให้เดือนนั้นทั้งเดือนเป็นเดือนที่แย่ ที่การลงทุนติดลบ จากนั้นกลับปรับตัวรีบาวด์ ตลาดหุ้นเด้งกลับมา 2 เดือน ทุกคนก็แฮปปี้มีความสุขที่ตลาดรีบาวด์ แต่มาเดือนสิงหาคมนี้ก็เอาอีกแล้ว

สิ่งที่สังเกตคือเดือนสิงหาคม เงินลงทุนไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงน้อยกว่าเดือนพฤษภาคมค่อนข้างมาก เห็นได้ชัดจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของสหรัฐอเมริกา เดือนพฤษภาคมที่ลงมาหนัก อยู่ที่ประมาณ 2% กว่า ส่วนทองคำยังแค่ทรงตัว ค่าเงินอื่นๆ ก็ทรงตัว เช่นค่าเงินเยน สวิสฟรังก์ แต่ว่ารอบนี้เดือนสิงหาคม ตลาดปรับลงอีกรอบ มาถึงจุดนี้ หุ้นลงมาก บางคนก็มองเป็นโอกาสจะซื้อกลับ อีกส่วนหนึ่งก็มองแบบ Deb Tapout คือเด้งขึ้นลงแล้วจะต่อหรือเปล่า

แต่ส่วนตัวเชื่อว่าจะรีบาวด์ และคิดว่าช่วงปลายเดือนมีโอกาสที่หุ้นจะปรับตัวขึ้น แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือ เงินยังไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงน้อยมาก

ล่าสุดที่บอกว่า Yield Curve ปรับตัว ทำให้ตลาดดาวโจนส์ลงมา 800 จุด สร้างความกังวลมาก ถึงแม้ตอนนี้ส่วนต่างพันธบัตรแบบ 2 ปี กับ 10 ปี จะกลับมาปกติ แต่ก็เรียกว่ายังน้อยมาก อยู่แค่ประมาณ 0.07% ขณะเดียวกัน ทองคำเด้งขึ้นมาเกือบเท่าเป้าหมาย 1,500 กว่าดอลลาร์ ก็ถือว่าขึ้นมาค่อนข้างเร็ว ส่วนค่าเงินเยนก็ยังคงแข็งค่าต่อไป

อีกส่วนที่เราต้องติดตามก็คือตลาดฟิวเจอร์สของสหรัฐอเมริกา เป็นตัวหนึ่งที่สะท้อนว่า เม็ดเงินส่วนใหญ่ยังเทเข้ามาสินทรัพย์เสี่ยงน้อยกว่าปกติมาก

ดังนั้นที่เราแนะนำคือ หากตลาดรีบาวด์ขึ้นมารอบนี้ช่วงปลายเดือนสิงหาคมแล้วให้ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลง ทั้งหุ้นต่างประเทศและหุ้นในประเทศ

อย่าเพิ่มพอร์ตหรือไม่ก็ควรลดพอร์ตใช่ไหม

ใช่ จริงๆความเสี่ยงที่ซีไอเอ็มบีมองมาตั้งแต่ต้นปีนั้น เราให้ความสำคัญในการป้องกันเงินต้นค่อนข้างเยอะ คือตอนนี้เราแยกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือความเสี่ยงเงินต้น กับความเสี่ยงเรื่องผลตอบแทนว่าจะได้เยอะหรือไม่ ปีนี้เป็นปีที่ต้องรักษาเงินต้นเป็นหลัก ฉะนั้นเราให้น้ำหนักการลงทุนอยู่ในตราสารหนี้ให้เกินครึ่งของพอร์ตของการลงทุนมา ส่วนตราสารหนี้ทุนหรือหุ้น เดิมเราให้แบ่งลงทุนในหุ้นไม่เกิน 35% แต่สถานการณ์ที่เกิดตอนนี้ ทำให้เราปรับลดน้ำหนักลงทุนในหุ้นเหลือไม่เกิน 30% ดังนั้นในช่วงปลายสิงหาคมไปแล้วที่เราเชื่อว่ามีโอกาสรีบาวด์ จังหวะนั้นจึงต้องปรับพอร์ตลดลงมา โดยในสัดส่วนของการลงทุนในหุ้น 30% ก็มีการปรับกลยุทธ์การลงทุนจากเดิม อาจกระจายเน้นไปลงทุนในหุ้นประเทศ เพราะจริงๆในประเทศอาจจะเอาไม่อยู่ ต้องดูเป็น กลุ่มอุตสาหกรรมที่ดูแล้วน่าจะยืนได้ ซึ่งการเล่นใหญ่ๆยังเน้นหุ้น Defensive ที่แนะนำให้ขายหากหุ้นรีบาวด์หลังจากนี้ และลดสัดส่วนหุ้นในพอร์ตลง เพราะเชื่อว่าสงครามการค้าจีน-อเมริกาจะไม่จบง่ายๆ สิ่งที่เราเห็นว่าต่างไปก็คือจีนเริ่มมีทีท่าแข็งกร้าวมากกว่ารอบที่แล้วๆ มา ถ้าเราจำได้ จีนยอมให้ง่ายๆ อย่างเช่นเรื่องของสินค้าการเกษตร รอบที่แล้วให้ง่ายมาก แต่รอบนี้กลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนตัวมองว่าเรื่องนี้อีกยาว คงไม่จบง่ายๆ ดังนั้น ประเด็นที่ใหญ่ที่สุดของปีนี้คือประเด็นระหว่างจีนกับสหรัฐ สิ่งที่ทรัปม์ทำทุกอย่างก็เพื่อจะรักษาฐานเสียง เพื่อจะอยู่ในอำนาจต่อชนะเลือกตั้งรอบหน้าคือปีหน้า ดังนั้นมองในเชิงเกมการเมือง ทรัมป์พยายามใช้ประโยชน์ให้มากที่สุดในการต่อรองรอบนี้ ดังนั้นถ้าจบเร็วไป ในเกมการเมืองก็อาจไม่มีอะไรเล่นต่อ

สรุปคือในเชิงตลาดหุ้นค่อนข้างลดลงมามาก และคิดว่าจะมีโอกาสรีบาวด์ขึ้นไปได้ แต่จากท่าทีของจีนกับสหรัฐอเมริกาคิดว่าถึงหุ้นขึ้น ก็ไม่น่าขึ้นมาก จึงแนะนำให้ลดพอร์ตหุ้นลงมา หากหุ้นจะดีดกลับขึ้นไป คำถามคือคิดว่าหุ้นจะสามารถดีดกลับขนาดไหน

หุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีลงเป็นส่วนใหญ่ เราขึ้นมาน้อยกว่าเขา รอบนี้เราก็เลยลงน้อยกว่าเขา ฉะนั้นรอบนี้ถ้ามองในเชิงเทคนิคจริงๆควรจะกลับไปแถวใกล้ๆ 1,650 จุด ที่เดิมที่เป็นแนวต้านคราวที่แล้ว ตลาดหุ้นส่วนใหญ่รอบนี้ลงมา 11% บ้านเราลงมาประมาณ 7% ส่วนตัวก็ต้องบอกว่ามุมมองระยะสั้นเราควรจะลดพอร์ต แล้วต้องคำนวณระยะยาวด้วย ส่วนหนึ่งเรามองว่าโอกาสเศรษฐกิจระยะยาวที่จะเติบโตมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ไม่ได้มาก

การที่เรายังให้ลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นอยู่นั้นต้องย้อนกลับไปที่ปัจจัยพื้นฐานผลประกอบการของปีนี้ ที่จริงเราไม่ได้อยู่แค่ในช่วงผันผวนของตลาดโลกอย่างเดียว แต่เรายังอยู่ในช่วงภาวะถดถอยของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยด้วย พวกบจ.ประกาศผลดำเนินงานออกมาก็ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ ขณะที่ตัวเลขรายไตรมาสออกมาไม่ค่อยดี มีโอกาสที่เศรษฐกิจจะดาวน์ลงมาต่อได้อีก นอกเหนือจากเรื่องความผันผวน พื้นฐานเศรษฐกิจเรายังคงน่าห่วง จีดีพีก็ไม่ค่อยดี

มองว่ากรอบของเงินบาทจะไปอย่างไร ดอกเบี้ยจะลดอีกไหม

เรื่องของเงินบาทความจริงคือต้านกระแสโลกไม่ไหว ถึงแม้ว่าล่าสุดเฟดมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมา ก็อยากบอกว่าตอนนี้มี 15-18 ประเทศที่อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าสหรัฐอเมริกา และปรับลดดอกเบี้ยนำไปแล้ว ประเทศเหล่านี้เป็นเศรษฐกิจขนาดอันดับต้นๆของโลก ถ้ามองจากภาพใหญ่สหรัฐอเมริกามีโอกาสจะปรับอัตราดอกเบี้ยลงต่อ ปรับลงต่อแน่ๆ แต่อาจจะไม่ได้เยอะอย่างที่ตลาดคาดการณ์ อาจจะลงได้อีกที่ 3-4 ครั้ง คิดว่ามีลงอีกแต่ไม่เยอะ

ข้ามมาที่ไทย ในอดีตเวลา กนง.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ส่วนใหญ่ไม่ค่อยลงครั้งเดียวแล้วหยุด ส่วนใหญ่เป็นการลงแล้วมีลงต่อเนื่อง โดยปีนี้เชื่อว่ายังมีลงอีกสักครั้งหนึ่ง แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะจังหวะไหน เพราะยังเหลือการประชุมอีก 3 ครั้ง

มาที่ค่าเงินบาท ต้องบอกว่าจริงๆเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นมาเรื่อยๆ ค่าเงินประเทศเพื่อนบ้านเรา ไม่ว่าจะอินโดนีเซีย เกาหลี สิงคโปร์ มาเลเซีย อ่อนค่าไปกันหมดแล้ว มีของไทยที่บาทยังแข็ง เรามองว่า ต่ำกว่า 31 บาทต่อดอลลาร์ ถือว่าแข็งค่าเกินกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็น แต่ถ้ามองไปจนถึงสิ้นปี เรายังเชื่อว่าค่าเงินบาทรอวันที่จะอ่อนค่า แม้ว่าตอนนี้ทิศทางฟันด์โฟลว์ไหลออก เริ่มจะเห็นสัญญาณการต่างชาติขายตลาดหุ้นไทยและตราสารหนี้ไทยด้วย แต่จากนี้ไปถึงสิ้นปี เชื่อว่าต่างชาติจะกลับมา เมื่อใดที่แรงขายตรงนี้เริ่มกลับมาซื้อ ซึ่งตลาดของต่างชาติจะเป็นวันเวย์ จะเร็วมากเช่นกัน

อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ค่าเงินบาทอยู่ได้ คือคนบอกว่าเรามีฐานรีเสิร์ชที่ค่อนข้างจะแข็งเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ แต่อีกส่วนหนึ่งคือเรื่องของกฎระเบียบ เขามองว่าเวลาเงินนอกเข้ามา เขาไม่ได้กังวลแค่เรื่องขาเข้า เขากังวลเรื่องขาออกด้วย ถ้าเทียบประเทศรอบๆ บ้านเรา ไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ไม่มีกฎระเบียบยุ่งยากในการเอาเงินออก ไม่ค่อยฟิกซ์เท่าไหร่ คิดว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ว่าทำไมเงินต่างชาติยังเลือกที่จะเข้ามาลงทุนในเงินบาทอยู่ คือที่ผ่านมาเขายังไม่ได้ขายหนี ดังนั้นถ้าตัวดอลลาร์แข็งเมื่อไหร่ เงินไทยมีความอ่อนไหว ต่างชาติกลับมาเมื่อไหร่ ก็จะอ่อนค่าได้ทันที


 
มีความกังวลกันมากเรื่อง Inverted Yield Curve มองว่านักลงทุนกังวลหรือไม่

อันนี้เป็นเรื่องผลตอบแทนพันธบัตรที่เรียกว่าขาสั้น-ขายาว สิ่งที่เกิดคือผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอเมริกาอายุ 10 ปีนั้น ส่วนใหญ่มองว่าเป็นโอกาสสะท้อนเศรษฐกิจว่าจะเติบโตกี่เปอร์เซ็นต์ ถ้าเมื่อไหร่ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี ปรับลดลงมาหมายความว่าคนไม่เชื่อว่าอนาคตจะโตได้ ผลตอบแทนขายาวควรมากกว่าขาสั้น แต่สิ่งที่เกิดเวลานี้คือ ผลตอบแทนยาวอย่างพันธบัตรอายุ 10 ปีต่ำกว่าผลตอบแทนอายุ 2 ปี เช่นกันกับการขึ้นของหุ้นในช่วงกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผมไปดูปรากฏว่ามีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นพร้อมกัน คือมีเงินไหลเข้า Money Market หรือกองทุนตลาดเงินของอเมริกาประมาณ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าเยอะมาก ขณะที่หุ้นขึ้นแต่เงินไหลเข้า Money Market เยอะ ผมจึงยังไม่ไว้ใจว่ารอบนี้หุ้นจะขึ้นจริงหรือเปล่า

ถ้าแนะนำให้ลดพอร์ตลงทุนในหุ้น และให้ลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น ไม่ทราบว่ายังมีตัวเลือกอื่นอีกหรือไม่ เช่น ทองคำ...มองทิศทางทองคำอย่างไร

จริงๆ อีกสินทรัพย์หนึ่งคือทองคำ ซึ่งยังมีโอกาสขึ้นไปได้อีกพอสมควร และกองทุน REIT หรือ Property Fund และ Infrastructure Fund ซึ่งเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ดีมากในปีนี้

สิ่งที่ผมอยากจะให้จับตาคือเรื่องกองทุนอสังหาริมทรัพย์และ REIT Infrastructure ที่เดิมเป็นกองทุนที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เข้าออกได้ทุกวัน ปันผลในปีที่แล้วอยู่ประมาณกว่า 6% ก็เป็นสิ่งที่คนสนใจกันมาก ปีนี้ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมากองทุนนี้ทำผลตอบแทนเฉพาะส่วนของราคาที่ขึ้นมากว่า 20% ทำให้ตอนนี้หน่วยงานหรือที่ปรึกษาการลงทุนทั้งหลายมีการแนะนำให้เข้าลงทุนกองทุนนี้เยอะ คนยังเข้าไปลงทุนอยู่ สินทรัพย์กลุ่ม Dividend Yield Play เพราะจะชอบสภาวะดอกเบี้ยขาลบเพราะส่วนต่างมีเยอะ story นี้คนยังเล่นต่อได้ คือการลงทุนแบบนี้เรามองว่าปีหนึ่งควรจะได้ประมาณ 8% (จาก Dividend 6% และจากส่วนต่างราคาขึ้นไม่เกิน 2% ต่อปี ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยในอดีต) ปีนี้ที่ราคาขึ้นมาเกือบ 20% ผมว่าอันนี้ต้องระวัง เราก็ออกมาเตือนให้เริ่มระวัง เพราะผลตอบแทน Dividend yYield โดยเฉลี่ยของตลาดไทยต่ำกว่าสิงคโปร์เรียบร้อยแล้ว เหลืออยู่แค่กว่า 4%

เหตุนี้ซีไอเอ็มบี ไทยเลยแนะนำให้กระจายไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น เพราะมีส่วนต่างผลตอบแทนที่น่าสนใจมากกว่า เป็นอีกสินทรัพย์หนึ่งที่น่าจะไปต่อได้เหมือนกัน

เช่นเดียวกับทองคำ จากเดิมเราให้ติดพอร์ตไว้ประมาณ 5% แต่ตอนนี้เราเพิ่มเป็น 10% แม้มีการเด้งขึ้นมาเป็น 1,500 ดอลลาร์ ผมว่าแม้มีการปรับลงมาก็เป็นการพักตัวเพื่อขึ้นไปต่อ กลับทางกับหุ้นไทยที่ขึ้นมารอบนี้ 1,630 เด้งกลับมาค่อนข้างเร็ว รอบนี้อาจขึ้นถึง 1,650-1,660 อย่างที่บอก คือผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนยังถดถอยอยู่ การประกาศผลประกอบการยังไม่จบ ถ้าประกาศจบผมเชื่อว่ามีโอกาสเห็นกำไรต่อหุ้น Earnings per share ลดลง คือเวลาเราคิดจากฐาน 100 ต้นปีอยู่ที่ 112 ตอนนี้อยู่ประมาณ 101 เชื่อว่าปิดต่ำกว่า 100 เราก็เอาค่า P/E คูณเข้าไปง่ายๆ ตลาดไทยจึงไม่ถูกและไม่แพง แต่ก็ยังไม่ถูกขนาดจะเข้าซื้อ

เรื่องกองทุนเทมาเส็กที่มีการเทขายหุ้น INTUCH มองว่าเป็นสัญญาณอะไร

เวลาจะดูกองทุนต้องดูนโยบายการลงทุนเขาเป็นหลัก เทมาเส็กเป็นของรัฐบาล ดังนั้นเวลาที่ลงจะลงทุนเป็น Long Term มาก เพราะเขามอง 6-7 ปีขึ้นไป ส่วนหนึ่งเขาก็มองว่าโอกาสขาขึ้นมีความน่าสนใจน้อยลง ถ้าลงทุนเมืองนอกเขาจะดู 2 อย่าง อย่างแรกคือผลตอบแทนจากหุ้นโดยตรง อย่างที่สองคือทิศทางค่าเงิน ถ้าเป็นไปได้ราคาหุ้นขึ้น 10% แต่ค่าเงินหาย 10% ก็แย่เหมือนกัน อันนี้เป็นมุมมองส่วนตัว อย่างแรกค่าเงินไทยแข็งค่าเกินไป เทมาเส็กจึงอาจมองว่าตอนนี้เป็นโอกาสที่ 1. Dividend Yield ที่เขามีมาตลอด 2. เรื่องค่าเงินที่มองว่าขาย ตอนนี้เขามีกำไรเรื่องค่าเงินก็เป็นอันหนึ่งที่นำไปประกอบการตัดสินใจของนักลงต่างชาติจึงเริ่มขยับลดการลงทุนในสินทรัพย์ไทยบาทออกไป


 

บางคนบอกว่าไปซื้อ LTF แต่จะหมดอายุแล้ว อย่างนี้เป็นเวลาหรือเปล่าที่จะซื้อ

จริงๆต้องบอกว่า LTF เวลาเราถือจะถือเป็น 7 ปี แต่ระดับราคา 1,500-1,600 ถ้าเรามองไป 7 ปี ผมเชื่อว่าถ้าจะมี Cycle มันจะข้ามไปอีก cycle แล้ว ผมว่ายังไงก็ซื้อได้ อีกอย่างเราเก็บ LTF เพื่อรอเกษียณ ถ้าคนถือเกิน 10 ปีส่วนใหญ่ในอดีตไม่ค่อยขาดทุน ขณะที่ 7 ปีเป็นระยะเวลาที่จริงๆลงทุนได้ ที่สำคัญอย่างน้อยเราไม่ได้ซื้อตอนที่ Index 1,700-1,800 ตอนนี้มีการปรับฐานลงมา ถ้าลงทุนในระยะยาว 7 ปีขึ้นไปก็สามารถลงทุนได้


 

สรุปอีกครั้งว่าโลกเรารวมทั้งไทยด้วยเข้าสู่ภาวะวิกฤตถดถอยหรือยัง

ตอนนี้เชื่อว่าจะเป็นการเติบโตที่ช้าลง โอกาสที่เกิดวิกฤตถดถอยผมให้อยู่ประมาณ 30% เยอะกว่าปีที่แล้วที่มี 15%

แต่การที่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยไม่ได้หมายความว่าโอกาสการลงทุนจะเสียหายไปทั้งหมด มันยังมีทรัพย์สินที่มีโอกาสในนั้นอยู่ ในสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย พอร์ตใหญ่ต้องเน้นลดความเสี่ยงเงินต้นเป็นหลัก ถือตราสารหนี้ที่มีเรตติ้งดี Investment ดี อยู่ในประเทศที่แข็งแกร่ง พื้นฐานบริษัทดี อันนี้ถือได้เกิน 50%

ส่วนถัดมาที่แนะนำคือ ถ้าจะมีหุ้นในสัดส่วน 30-45% ของพอร์ต ก็ควรอยู่ในหุ้นที่จ่าย Dividend ได้ เพราะหุ้นที่มี Dividend หุ้นที่จ่าย Dividend ได้ดีต้องเป็นหุ้นที่มีผลประกอบการที่แข็งแกร่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถึงจ่ายปันผลได้

ตัวถัดมาก็เป็นกองทุนอสังหาฯ กองทุน Infrastructure ปัจจุบันของไทยชะลอเพราะขึ้นมาเยอะ ควรเน้นไปที่ฝั่งต่างประเทศอย่างสิงคโปร์น่าสนใจ ส่วนหนึ่งสิงคโปร์ไม่ได้มีเฉพาะหุ้นที่เป็นกิจการในสิงคโปร์ แต่มีทรัพย์สินทั่วโลกมาจดทะเบียนที่สิงคโปร์ ดังนั้น มีการกระจายของทั่วโลกอยู่แล้ว

ส่วน Infrastructure ในเมืองไทยยังน่าสนใจ จริงๆมี Story ต่อเนื่อง คือปีนี้ขึ้นมาเยอะจริง แต่ให้ติดตามไว้เพราะปีหน้า LTF หมดอายุ อันใหม่ที่จะออกมาเขาเปลี่ยนกฎระเบียบเหมือนกัน กลายเป็นว่าจากเดิม LTF ลงทุนหุ้นทั้งหมด กลายเป็นว่าขั้นต่ำต้องมีกี่เปอร์เซ็นต์ หุ้นต้องลงทุนใน Infrastructure หรือที่มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ เพราะฉะนั้นดีมานด์ก็ไปยืนรอตรงนั้นอยู่ในปีหน้า

ทองคำติดพอร์ตไว้เพื่อประกันความเสี่ยง เรามองว่ากำลังจะชะลอตัวกับช้าลงค่อนข้างเยอะ แต่ถ้ามองไปปี 2020 แล้วไฟติดขึ้นมาแน่นอนว่าทองคำจะเป็นตัวหนึ่งที่ประคองถ้าเกิดความเสี่ยงขึ้น ทองคำเป็นตัวหนึ่งที่ยืนได้ ผมมองว่าระดับราคาตรงนี้ทองยังมีโอกาสยืนได้อยู่ ก็เห็นคนไปซื้อทองเยอะเหมือนกัน

สิ่งที่เราเตือนตอนนี้คือ ใครมี Position ที่เกี่ยวกับน้ำมัน พลังงาน ให้ระวังไว้หน่อย ผมเชื่อว่าราคาน้ำมันปีนี้เจอความเสี่ยงที่จะปรับฐานลงในไตรมาสที่ 4


 

หุ้นพลังงานทดแทน ไฟฟ้า ยังพอไหวอยู่ไหม

ราคาตรงนี้ก็ให้ระมัดระวัง จริงๆก็มีการปรับฐานลงมาพอสมควร ต้องบอกว่าพื้นฐานของหุ้นพลังงานเป็นอะไรที่ผลตอบแทนไม่ค่อยแน่นอน เพราะรายได้เขาเป็นระยะยาว เมื่อไหร่ที่ราคาหุ้นวิ่งเกินค่าเฉลี่ยของตลาด P/E สูงผมว่าก็ต้องระวัง ถ้าจะลงทุนหุ้นพลังงานควรจะต้องมี Dividend Yield 4-5% ขึ้นไป

19