Feb 23, 20171 min

LH Fund แนะ ปี 60 ลงทุนหุ้นดีที่สุด

มนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ หรือ LH Fund ยืนยันปี 2560 การลงทุนจะมีความยากลำบากมากขึ้นในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น และปัจจัยความไม่แน่นอนต่างๆในต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ภาวะหุ้นมีความผันผวน แต่ยังคงยืนยันว่าการลงทุนในหุ้นคือสิ่งที่ดีที่สุด แนะปรับกลยุทธ์ ห้างหุ้นโกรทหันหาหุ้นแวลู

“ผมยังยืนยันว่าปี 2560 นี้ไม่มีตราสารการเงินอื่นใดที่ดีไปกว่าหุ้นสำหรับการลงทุน” นายมนรัฐกล่าว

นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ กล่าวกับ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ว่าการลงทุนในหุ้นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แม้ว่าเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาอาจจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนไม่เท่ากับปีที่แล้ว โดยปีที่แล้วตลาดหุ้นไทยมีการปรับขึ้นถึง 19-20% แต่ปีนี้อาจจะได้เห็นหุ้นขึ้นราว 12% แต่ก็ยังคงเป็นแหล่งลงทุนที่ดีที่สุดอยู่ดีในภาวะที่โลกมีแนวโน้มเป็นช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น

“ยอมรับว่าปีนี้การลงทุนในหุ้นจะยากมากขึ้น เพราะเทรนด์ดอกเบี้ยขาขึ้นตลาดจะผันผวน และนโยบายทรัมป์ที่ทำให้ตลาดแกว่งและคาดการณ์ลำบาก ตลาดต้องระวังมากขึ้น ตลาดจะแกว่งไกลมากขึ้น ทั้งนี้มีข้อสนับสนุนให้ลงทุนในหุ้นได้คือ เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวได้ดีขึ้น การที่ดอกเบี้ย เงินเฟ้อปรับขึ้นเป็นเพราะเศรษฐกิจดีขึ้น ไอเอ็มเอฟปรับประมาณการจีดีพีขึ้น ไทยเองก็ปรับแนวโน้มจีดีพีขึ้น ประเทศในลาตินอเมริกาเองที่ปีก่อนติดลบ ปีนี้ก็คาดการณ์ว่าจะกลับจากลบเป็นบวก จีนพอไหว อินเดียไปได้

เนื่องจากดอกเบี้ยขึ้นครั้งนี้ขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างที่บอก ดังนั้นหุ้นจะดี แต่ก็มีความผันผวน หุ้นคือแหล่งลงทุนที่ดีที่สุด เมื่อเทียบกับอย่างอื่น เช่น จะเอาเงินลงทุนในบอนด์ในภาวะดอกเบี้ยขึ้นก็จะใจหายใจคว่ำว่าให้ผลตอบแทนที่ไม่ดี พวกน้ำมัน ปาล์ม ทองคำ ก็จะได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว ในส่วนของหุ้นเห็นชัดกว่าว่าผลประกอบการน่าดีขึ้น”

เมื่อเปรียบเทียบตลาดหุ้นทั่วโลก นายมนรัฐ ระบุว่า ยุโรปเองมีปัญหาแทรกเรื่องฝรั่งเศส อิตาลี คือยังฝุ่นตลบ อเมริกานับว่าดีถ้ารู้จักเลือกดูแลเองได้ แต่ถ้าไว้ใจกองทุนซื้อก็ต้องระมัดระวัง

“แต่ที่ผมเห็นว่าดีคือ เอเชียแปซิฟิก ผมมองเห็นภาพว่าน่าจะดีขึ้น

ที่ดัชนีดาวโจนส์ทำ ออลล์ไทม์ไฮ เป็นเรื่องของความหวังช่วงแรกกับนโยบายทรัมป์ แต่หลังจากนี้รัฐบาลต้องทำให้ได้ตามที่รับปากไว้ ซึ่งเป็นเรื่องเหนื่อยที่ต้องมากะเก็ง เพราะทันทีที่ทำไม่ได้ตามนโยบาย หุ้นจะลง ดังนั้นเมื่อเทียบอเมริกา กับเอเชียแปซิฟิก ผมว่าเอเชียแปซิฟิกรวมไทยด้วยดีกว่า ไทยมีหุ้นดีๆให้เลือกอีกเยอะ กระแสเงินของนักลงทุนสาถาบันจะไหลมาส่วนนี้มากกว่า และยังคงได้เปรียบอยู่”

นายมนรัฐ ให้ความเห็นว่าในส่วนของหุ้นไทย ที่คาดการณ์ว่าน่าจะโตประมาณ 12% ด้วยตลาดที่พีอีเท่าเดิม น่าจะทำให้ดัชนีไปได้ที่ระดับ 1600-1650 ซึ่งก็ถือเป็นระดับที่ให้ผลตอบแทนดี แต่ต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนด้วย ไม่ใช่ลงทุนแบบปีที่แล้ว

1600-1650 จุด คือน่าจะเป็นไปได้ ไม่เกินความฝัน และผมก็อยากเห็นว่ามันเกิดในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ เมื่อบวกเงินปันผลอีก 2-3 % ถ้าเลือกหุ้นต้องเลือกให้ดีหน่อยไม่ใช้เลือกหุ้นโกรทอย่างเดียว ต้องเป็นหุ้นแวลู เพราะสังเกตแล้วว่าเทรนด์ที่ต่างชาติจะเลือกซื้อุห้นคือ เลือกหุ้นแวลู ที่มีพีอีไม่แพงนัก มีโกรทด้วย ปันผลไม่น่าเกลียด แล้วก็เลือกหุ้นที่เกี่ยวข้องกับคอมโมดิตี้ ซึ่งพีอีไม่แพง ราคาเพิ่งขยับเมื่อปลายปีทีผ่านมา

ถ้ามองรายกลุ่ม รายอุตสาหกรรม ในระดับรายปี สำหรับนะยะไตรมาส 1 น่าเป็นหุ้นแบงก์กับพวกหุ้นไฮดิวิเด็น แล้วไตรมาส 2 หุ้นที่มีโกรทสูงๆ น่าจะตกลงมาจนได้ที่แล้ว เวลานั้นค่อยไปเลือกอีกครั้ง”

สำหรับวิธีการดูหุ้น ไฮโกรทสูงๆ คือ ดูว่าตลาดโต 12% ต้องเลือกหุ้นที่โตมากกว่า 12% เช่น 20-25% และลงมาจากพีค 10% กว่าซึ่งจะมีแรงกระตุ้นให้กลับมาลงทุนใหม่อีกครั้ง

“เช่นตกจากพีคลงมา แล้วที่สำคัญพีอีต้องไม่สูง ยังมีโกรทมากกว่าตลาด หรือ ดูจากพีอีจี คือ เอาพีอีหารโกรท ก็ได้ ถ้าผลออกมาได้ 16-18 ก็พอไหว”

ส่วนนักลงทุนที่ไม่อยากลงทุนเองและต้องการลงทุนในกองทุน นายมนรัฐ แนะนำว่า ควรจะเลือก กองทุนที่ลงทุนในหุ้นที่มีความผันผวนต่ำ

“เราแนะนำลูกค้าลงหุ้นโกรทอย่างเดียวเลยใน 2 ปีที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ต้องปรับแล้ว เพราะหุ้นโกรทเริ่มเสียเปรียบแล้วเหมือนกัน ปีนี้ต้องเลือกที่ไม่ผันผวนมาก คือดูกองที่มีคำว่า สแตติจี้ ให้มีความผันผวนสอดคล้องกับดอกเบี้ย ส่วนกองทุนต่างประเทศ เลือกกองทุนที่ไปลงทุนในญี่ปุ่น หรือ กองรีท กองอสังหาต่างประเทศยังพอไหวอยู่ยังมีเน็ทรีเทิร์นสูงอยู่ ต่อให้มีแคปปิตอลลอสท์ก็ยังดีกว่าฝากเงิน หรือซื้อพันธบัตร เพราะดอกเบี้ยฝากมันพอๆกับเงินเฟ้อ

การจัดพอร์ทลงทุนใช้หลักการ 1 ใน 3 ... คือลงทุนต่างประเทศไม่เกิน 1 ใน 3 หุ้นไทย 1 ใน 3 เงินฝาก คอร์ปอเรทบอนด์ 1 ใน 3 ยืนด้วย 3 ขาแบบนี้จะปลอดภัย”

102